Hi-Kool พลิกเกมธุรกิจลุยดิจิทัลเต็มสูบ - Forbes Thailand

Hi-Kool พลิกเกมธุรกิจลุยดิจิทัลเต็มสูบ

Hi-kool ปฏิวัติวงการธุรกิจฟิล์มกรองแสงรถยนต์ พลิกเกมธุรกิจรุกจัดกิจกรรมการตลาดออนไลน์เต็มรูปแบบ ชิงกำลังซื้อช่วงไฮซีซั่น ชูกลยุทธ์ Never Normal “ธรรมดาไม่เป็น” ดึง “อินฟลูเอนเซอร์” สร้างกระแสขยายฐานผู้บริโภคยุคใหม่ พร้อมปรับองค์กรสู่ดิจิทัล ทรานฟอร์เมชั่น เพิ่มประสิทธิภาพ ดันยอดขายรองรับอุตสาหกรรมรถยนต์ฟื้นตัวและแข่งขันสูงในปี' 64

-ธุรกิจฟิล์มกรองแสงรถยนต์ มีมูลค่าตลาดราว 2.5 พันล้านบาท -ปี 2563 ตลาดฟิล์มกรองแสงโดยรวมหดตัวลงประมาณร้อยละ 15 -สภาฯ ยานยนต์ไทยคาดยอดขายรถยนต์ในประเทศอยู่ที่ราว 850,000 คัน ชลิฏา วณิชชากรพงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารการตลาด ทายาทรุ่น 2 ของ บริษัท ลีวณิชย์ จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายฟิล์มกรองแสง Hi-Kool เปิดเผยว่า ปีนี้ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี ที่บริษัทตัดสินใจไม่เข้าร่วมงานบางกอก มอเตอร์โชว์ 2021 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24 มีนาคม – 4 เมษายน 2564 นี้ เนื่องจากความกังวลในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังคงยืดเยื้อ ประกอบกับพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป หันมาใช้ออนไลน์เป็นช่องทางหลักในการซื้อสินค้าและบริการ “จากการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคในช่วงที่ผ่านมา นับตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 วิถีชีวิตผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป ใช้สื่อออนไลน์มากขึ้น ทั้งการรับชมรายการผ่านเฟซบุ๊ค การซื้อสินค้าและบริการ รวมไปถึงการค้นหาข้อมูลสินค้าก่อนตัดสินใจซื้อ- เรียกว่าอยู่กับออนไลน์เต็มรูปแบบ โดยผู้บริโภคที่เข้ามาเลือกซื้อสินค้าและบริการในช่องทางเหล่านี้ เป็นกลุ่มที่มีความต้องการซื้อสินค้าจริง จึงถือเป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดี” ชลิฏากล่าว ทั้งนี้ บริษัทได้ตัดสินใจจัดแคมเปญการตลาดออนไลน์เต็มรูปแบบ ชูกลยุทธ์ Never Normal “ธรรมดาไม่เป็น” ถือเป็นครั้งแรกของวงการฟิล์มกรองแสงรถยนต์ ภายใต้ชื่องาน “Hi-Kool Flim Show” ระหว่างวันที่ 25 มีนาคม – 4 เมษายน 2564 รวม 11 วัน ผ่านช่องทาง เฟซบุ๊คไลฟ์ (Hi-Kool Film Thailand) เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคในช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจฟิล์มกรองแสง โดยมอบโปรโมชั่นพิเศษ ลดราคาฟิล์มกรองแสงทุกรุ่น 50 เปอร์เซ็นต์ สูงกว่าการจัดงานมอเตอร์โชว์ทุกครั้งที่ผ่านมา สำหรับรูปแบบการจัดงานจะมีอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง อาทิ ดีเจเพชรจ้า แบรนด์แอมบาสเดอร์ของไฮคูล, บอล เชิญยิ้ม ดาราตลกชื่อดัง, อาจารย์ไก่ พ.พาทินี และ ซินแสหมิง ขงเบ้งเมืองไทย มาร่วมจัดรายการสด (Live) ให้ความรู้ผู้บริโภคทั้งเรื่องฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์ ฟิล์มกรองแสงติดอาคาร การขับขี่รถยนต์ในไลฟ์สไตล์ของแต่ละบุคคล รวมไปถึงการตกแต่งบ้านตามศาสตร์ฮวงจุ้ย เพื่อขยายฐานลูกค้าของธุรกิจให้ครอบคลุมกลุ่มที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น
(จากซ้าย) ปรีชา-ชลิฏา-ปฏิพล วณิชชากรพงศ์
  คาดอุตสาหกรรมรถยนต์แข่งขันสูง ปฏิพล วณิชชากรพงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายขายโชว์รูมและฝ่ายขายต่างประเทศ กล่าวว่า สำหรับปีนี้คาดว่าอุตสาหกรรมรถยนต์จะกลับมาฟื้นตัว และมีการแข่งขันสูงขึ้น โดยสภาอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งประเทศไทยประเมินว่ายอดขายรถยนต์ในประเทศจะอยู่ที่ 850,000 คัน เพิ่มจากปีก่อนที่มียอดขาย 790,000 คัน ประกอบกับมีค่ายรถยนต์ใหม่เข้ามาแข่งขัน เช่น เกรทวอลล์ รวมทั้งการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ ซึ่งจะทำให้ธุรกิจฟิล์มกรองแสงกลับมาคึกคักเช่นเดียวกัน โดยปัจจุบัน ธุรกิจฟิล์มกรองแสงรถยนต์ มีมูลค่าของตลาดราว 2.5 พันล้านบาท ทั้งนี้ Hi-kool มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับหนึ่งในแง่จำนวนรถยนต์ที่ติดตั้ง จำนวน 600,000 คันต่อปี สำหรับปีนี้ บริษัทยังคงมุ่งทำการตลาดร่วมคู่ค้าของบริษัทที่เป็นร้านประดับยนต์ ซึ่งมีกิจกรรมสนับสนุนการขายตลอดทั้งปี โดยเน้นผ่านสื่อออนไลน์เป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็น Flash Sale ประจำเดือน ตรุษจีนอินเลิฟ สาดโปรรับสงกรานต์ ฯลฯ ในส่วนของโชว์รูมรถยนต์กว่า 2,000 แห่งทั่วประเทศ บริษัทมุ่งจัดกิจกรรม “Test Connect Together” Season 2 โดยร่วมกับค่ายรถยนต์ 9 แบรนด์หลัก ให้ผู้บริโภคทดลองขับรถยนต์พร้อมทดลองประสิทธิภาพของฟิล์มกรองแสง Hi-Kool ไปพร้อมกัน เพื่อประกอบการตัดสินใจของผู้บริโภคในการพิจารณาเลือกฟิล์มกรองแสงรถยนต์สำหรับการออกรถใหม่ ซึ่งปีนี้จะขยายกิจกรรมให้ครอบคลุมมากขึ้น ใน 4 ภูมิภาคทั่วประเทศ ด้าน ปรีชา วณิชชากรพงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายขายประดับยนต์และฝ่ายขายอาคาร กล่าวว่า สำหรับธุรกิจฟิล์มกรองแสงอาคารของบริษัทมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง สอดรับกับการขยายตัวของที่อยู่อาศัยแนวราบ ทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตวิถีใหม่ของผู้บริโภค ที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยรองรับฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลาย เนื่องจากการระบาดของโควิด-19 ทำให้มีการทำงานจากที่บ้าน การเรียนออนไลน์ รวมถึงมีการปรับปรุงที่พักอาศัย อาคารสำนักงาน เพื่อป้องกันแสงแดด และมลพิษจากฝุ่นควันที่เกิดขึ้น ซึ่งบริษัทได้เตรียมตั้งตัวแทนจำหน่ายเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าองค์กรโดยเฉพาะ รองรับความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น สำหรับปี 2563 บริษัทมีรายได้รวม 650 ล้านบาท ลดลงจากเป้าหมายเล็กน้อย ขณะที่ตลาดฟิล์มกรองแสงโดยรวมหดตัวลงประมาณร้อยละ 15 ขณะที่ในปี 2564 บริษัทยังคงวางเป้าหมายการเติบโตไว้ราวร้อยละ 5-10 โดยกลยุทธ์สำคัญคือการมุ่งสู่ “ดิจิทัล ทรานฟอร์เมชั่น” เต็มรูปแบบ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานขององค์กร การอำนวยความสะดวกในการให้บริการลูกค้า และการผลักดันยอดขายให้เติบโต โดยจะมีการพัฒนาฐานข้อมูลลูกค้าผ่าน E-Guarantee ถึงสิ้นปีคาดว่าจะมี 600,000 คัน และนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อนำเสนอสินค้าและนวัตกรรมการบริการใหม่ๆ ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าต่อไป อ่านเพิ่มเติม: KKP Research วิเคราะห์ตลาด EV ไทย “3 ปัจจัยเร่ง 4 ปัจจัยท้าทาย”
ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine