การ์ทเนอร์คาดปี 69 รถ EV ทั่วโลกพุ่ง 116 ล้านคัน จีนยังยืนหนึ่ง ครองสัดส่วนตลาด 61%

การ์ทเนอร์คาดปี 69 รถ EV ทั่วโลกพุ่ง 116 ล้านคัน จีนยังยืนหนึ่ง ครองสัดส่วนตลาด 61%

FORBES THAILAND / ADMIN
25 Dec 2025 | 02:33 PM
READ 108

การ์ทเนอร์คาดปี 2569 จะมีรถยนต์ไฟฟ้า (EVs) 116 ล้านคัน ประกอบด้วยรถยนต์ รถบัส รถตู้ และรถบรรทุกหนักวิ่งอยู่บนถนนทั่วโลก ขณะที่จีนยังครองสัดส่วนตลาดสูงสุดถึง 61% เผย EV จ่อเติบโตขึ้น 30% BEV จะมีจำนวนเกินครึ่งของรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด ส่วน PHEV จะเพิ่มขึ้น 32%


    Jonathan Davenport ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์การ์ทเนอร์ กล่าวว่า แม้ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ได้ประกาศใช้อัตราภาษีศุลกากรสำหรับการนำเข้ารถยนต์ และหลายรัฐบาลในประเทศต่างๆ ยกเลิกเงินอุดหนุนและสิ่งจูงใจเพื่อการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า แต่คาดว่าในปี 2569 จำนวนรถยนต์ไฟฟ้าบนท้องถนนจะยังเพิ่มขึ้นถึง 30% 

    และในปีหน้านี้ จีนจะยังเป็นผู้นำตลาดคิดเป็น 61% ของปริมาณรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด และรถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ทั่วโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 32% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากลูกค้าให้ความสำคัญกับความมั่นใจที่มีเครื่องยนต์เบนซินสำรองไว้ใช้ในยามที่ต้องการ ขณะเดียวกัน ยังคาดว่ารถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ (BEV) จะยังมีจำนวนเกินครึ่งของจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด แต่ก็ยังมีลูกค้าที่เลือกรถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) เพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่มากขึ้น

    สำหรับปริมาณรถยนต์ไฟฟ้าแบ่งตามประเภทรถยนต์ทั่วโลก ระหว่างปี 2568-2569 แบ่งหน่วยตามจริงได้ดังนี้

  •     รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ในปี 2568 มีจำนวนทั้งหมดอยู่ที่ 59,480,370 คัน ส่วนในปี 2569 คาดเพิ่มขึ้นเป็น 76,344,452 คัน
  •     รถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ในปี 2568 มีจำนวนทั้งหมดอยู่ที่ 30,074,582 คัน ส่วนในปี 2569 คาดเพิ่มขึ้นเป็น 39,835,111 คัน

    ดังนั้น ภาพรวม ในปี 2568 นี้ จะมีจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด ราว 89,554,951 คัน ส่วนในปีหน้าคาดกว่าจะเพิ่มเป็น 116,179,563 คัน

    ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงตลาดระดับภูมิภาคที่รวดเร็วทำให้ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าในจีนเพิ่มขึ้นอย่างมากนับตั้งแต่การคาดการณ์ครั้งก่อน โดยการแข่งขันที่สูงขึ้นทำให้ราคาจากผู้ผลิตในประเทศลดลง ส่งผลให้อุปสงค์ในปี 2569 เพิ่มขึ้นจาก 13.4 ล้านคัน เป็น 16.5 ล้านคัน รวมถึงแผนการลงทุนเพิ่มเติมในโครงสร้างพื้นฐานสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นอีกปัจจัยหนุน

    รัฐบาลได้เข้ามาแทรกแซงเพื่อลดระดับการให้ส่วนลดของผู้ผลิต และกำลังลดจำนวนเงินอุดหนุนลง ขณะที่ในตลาดสหรัฐฯ อุปสงค์ลดลงเนื่องจากรัฐบาลประกาศใช้อัตราภาษีศุลกากรสำหรับการนำเข้ารถยนต์ และยกเลิกเงินอุดหนุนรวมถึงสิ่งจูงใจสำหรับการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า

    อีกหนึ่งปัจจัยที่เกี่ยวข้องคือเทคโนโลยีที่ผสมผสาน เช่น รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ที่ยังครองสัดส่วนเกินกว่าครึ่งหนึ่งของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด แต่การ์ทเนอร์ได้ปรับลดตัวเลขการคาดการณ์ในปี 2569 จากเดิม 77% ลงเป็น 63% อันเนื่องมาจากการนำรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่มาใช้นั้นช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้

    อย่างไรก็ตาม ยังพบว่ามีลูกค้าที่เลือกรถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) เพิ่มขึ้นมากขึ้น โดยให้ความสำคัญและมั่นใจกับการมีเครื่องยนต์เบนซินสำรองไว้ใช้ในยามที่จำเป็น เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำอย่าง BYD จึงให้ความสำคัญกับการนำเสนอและจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าในหมวด PHEV

    รวมถึงรถยนต์ในหมวดย่อยเล็กๆ อื่นๆ ที่กำลังเติบโตเข้าไปอยู่ในกลุ่ม PHEV อีกประเภทหนึ่งนั่นคือรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์เบนซินเพื่อจ่ายไฟให้กับเครื่องปั่นไฟเพื่อชาร์จแบตเตอรี่ โดยรถยนต์แบบขยายระยะทางการขับขี่ (Range Extender) เหล่านี้มีเพียงระบบส่งกำลังไฟฟ้าเท่านั้น แต่สามารถมอบประสบการณ์การขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าที่ราบรื่นและสม่ำเสมอมากขึ้น

    ปัจจัยสุดท้ายคือ กฎระเบียบปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ ผู้ผลิตรถยนต์กำลังพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าเพื่อตอบสนองต่อแรงกดดันด้านกฎระเบียบจากรัฐบาลที่มีความกังวลเกี่ยวกับทั้งคุณภาพอากาศและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มากกว่าอุปสงค์โดยตรงจากผู้บริโภค รัฐบาลหลายประเทศส่งสัญญาณแล้วว่าจะค่อยๆ ยกเลิกรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) โดยไม่อนุมัติรถยนต์ใหม่ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนประเภทนั้น 

    โดยวัตถุประสงค์เบื้องหลังการตัดสินใจนี้คือ เพื่อลดฝุ่นละออง (PM) และการปล่อยก๊าซ CO2 จากรถยนต์ การปล่อยฝุ่น PM จากรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน ถูกมองว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อทั้งคุณภาพอากาศและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ภาษีรถใหม่ฉุดซูเปอร์คาร์ ราคาดีดจาก 40 ล้าน เป็น 50 ล้าน! คาวาลลิโนฯ วอนรัฐทบทวน–เลื่อนเก็บภาษี ชี้ “คนรวยก็คิดหนักก่อนเปย์”

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine