“บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย”เผยรถอีวี 100% ของบีเอ็มดับเบิลยู ยอดเติบโตสูงกว่า 348% จากยอดจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 1,399 คัน ส่วนปีนี้เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ ลุยเปิดตัวรถใหม่ 10 รุ่นจากทั้งสามแบรนด์คือ บีเอ็มดับเบิลยู, มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ตอกย้ำจุดยืนเบอร์หนึ่งในกลุ่มยานยนต์พรีเมียม
อเล็กซานเดอร์ บารากา ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “เรารู้สึกเป็นเกียรติและภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ยังคงเป็นผู้นำในเซกเมนต์ยานยนต์พรีเมียมของประเทศไทยติดต่อกันเป็นปีที่สี่
นอกจากนี้ เรายังให้ความสำคัญกับกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยรถยนต์ไฟฟ้า 100% รุ่นใหม่ถึง 6 รุ่นที่ได้นำมาเปิดตัวสู่ลูกค้าชาวไทย
“และในวันนี้ เรายังคงให้ความสำคัญกับความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าเช่นเดิม โดยได้นำยนตรกรรมใหม่มาเปิดตัวถึง 10 รุ่น จากทั้งแบรนด์บีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ไปจนถึงบริการและสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมที่ลูกค้าสามารถเลือกได้ตามความต้องการ”
ทั้งนี้ ในปี 2566 บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ครองตำแหน่งอันดับหนึ่งในตลาดยานยนต์พรีเมียมต่อเนื่องเป็นเวลาสี่ปีติดต่อกัน โดยแบรนด์บีเอ็มดับเบิลยูและมินิ สร้างสถิติใหม่ในปีที่ผ่านมาด้วยยอดจดทะเบียนรวม 15,477 คัน เติบโตขึ้นเฉลี่ย 3% โดยแบ่งเป็นรายละเอียด ดังนี้
-บีเอ็มดับเบิลยู 14,128 คัน เพิ่มขึ้น 4.1%
-บีเอ็มดับเบิลยู กลุ่มพลังงานไฟฟ้า 1,399 คัน เพิ่มขึ้น 348%
-มินิ 1,349 คัน ลดลง 6.2%
-บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด 1,079 คัน ลดลง 16.6%
“ในระดับโลก บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งเช่นกัน แม้จะผ่านสถานการณ์วิกฤตมากมาย แต่ก็ยังคงครองตำแหน่งผู้นำในตลาก
"โดยในปี 2566 สามารถทำยอดขายบีเอ็มดับเบิลยู มินิ และโรลส์รอยซ์ได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ คิดเป็นยอดส่งมอบรวม 2,555,341 คันทั่วโลก เติบโตขึ้น 6.5% โดยรถยนต์ในกลุ่มพลังงานไฟฟ้า 100% มียอดขายเติบโตขึ้นถึง 74.4% จากปี 2565 คิดเป็นยอดส่งมอบทั่วโลกรวม 376,183 คัน
"ผลของความสำเร็จดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการใช้งานรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ซึ่งตอบรับกับเทรนด์พลังงานสะอาดที่ยังคงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในระดับโลกและในประเทศไทย
“ทั้งนี้ ทางบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป มองว่าเทรนด์ความต้องการรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% จะยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อไป และคาดการณ์ว่าจะทำยอดขายได้กว่า 500,000 คัน ในปี 2567 นี้”
“ส่วนในประเทศไทย ก็ทำผลงานอย่างแข็งแกร่งในกลุ่มรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ได้แก่ บีเอ็มดับเบิลยู iX3, บีเอ็มดับเบิลยู iX, บีเอ็มดับเบิลยู i4, บีเอ็มดับเบิลยู i5, บีเอ็มดับเบิลยู i7 และมินิ คูเปอร์ เอสอี
ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าจากทั้งสองแบรนด์มีอัตราการเติบโตสูงถึง 200% ในปี 2566 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และมียอดจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 1,604 คัน ถือเป็นการตอกย้ำถึงแนวทางของบีเอ็มดับเบิลยูในการรังสรรค์ยนตรกรรมแห่งอนาคต เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ยั่งยืนยิ่งขึ้นให้แก่ทุกคน”
นอกจากนี้ รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูในกลุ่ม Luxury Class หรือรถยนต์ระดับไฮเอนด์ของแบรนด์ ได้แก่ บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 7, บีเอ็มดับเบิลยู i7, บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 8, บีเอ็มดับเบิลยู X7 และบีเอ็มดับเบิลยู XM ยังคงสร้างผลงานการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในตลาดประเทศไทย ด้วยยอดจดทะเบียนในปี 2566 ทั้งหมด 668 คัน เติบโตขึ้น 46% จากปีก่อนหน้า
สำหรับยานยนต์ที่จะเปิดตัวในปีนี้ 10 รุ่น ได้แก่
-บีเอ็มดับเบิลยู iX2 xDrive30 M Sport ราคา 3,399,000 บาท
-บีเอ็มดับเบิลยู 520d M Sport Pro ราคา 3,779,000 บาท
-บีเอ็มดับเบิลยู 530e M Sport Pro ราคา 3,949,000 บาท
-มินิ คูเปอร์ เอส แฮทช์ 3 ประตู Classic Edition ราคา 2,599,000 บาท
-มินิ คูเปอร์ เอส คลับแมน รุ่น Multitone ราคา 2,999,000 บาท
-มินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน Highlands Edition ราคา 2,299,000 บาท
-มอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS ราคาเริ่มต้น 1,125,000 บาท
-มอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู CE 02 ราคา 479,000 บาท
-มอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR ราคา 1,005,000 บาท
-มอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู K 1600 B ราคาเริ่มต้น 1,695,000 บาท
นอกจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งในประเทศไทย บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังได้รับการประเมินคะแนนความพึงพอใจของผู้บริโภค (Net Promoter Score – NPS) สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ทั้งในด้านยอดขายและการให้บริการหลังการขายในปี พ.ศ. 2566 ด้วยคะแนนจากผลการประเมินที่ 94 คะแนน และ 90 คะแนนตามลำดับ ซึ่งมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาสี่ปีที่ผ่านมา
สะท้อนให้เห็นว่าบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจที่เน้นลูกค้าเป็นจุดศูนย์กลาง พร้อมร่วมมือกับเครือข่ายของผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศ เพื่อพัฒนาความพึงพอใจของลูกค้าให้สูงที่สุด มีบริการที่เยี่ยมยอดที่สุด และส่งมอบที่สุดแห่งสุนทรียะด้านการขับขี่ให้แก่ลูกค้าได้ในทุกๆ ขั้นตอน
ทั้งนี้ ในช่วงปี พ.ศ. 2565-2566 บีเอ็มดับเบิลยู ได้จับมือกับผู้จำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการหลายราย เพื่อเปิดตัวโชว์รูมโฉมใหม่ในประเทศไทยกว่า 9 แห่ง ภายใต้คอนเซ็ปต์การออกแบบโชว์รูมและศูนย์บริการแบบใหม่ล่าสุด หรือ Retail Next ที่รังสรรค์บรรยากาศในการสัมผัสแบรนด์บีเอ็มดับเบิลยูที่ผ่อนคลายและใกล้ชิดกับลูกค้ามากขึ้นตั้งแต่ก้าวแรก ซึ่งจะยังคงมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้าด้วยคอนเซ็ปต์ Retail Next ในอีกหลายแห่งทั่วประเทศตลอดปี 2567 นี้
ในด้านของ บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย ปี 2566 ที่ผ่านมายังคงเป็นอีกหนึ่งปีที่เต็มไปด้วยความท้าทายจากปัจจัยเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นในตลาดรวม แต่บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย ก็ยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง การส่งมอบบริการใหม่ในรูปแบบดิจิทัลที่หลากหลาย และการส่งมอบบริการที่คำนึงถึงความพึงพอใจของลูกค้าเป็นหลัก
ส่งผลให้สามารถสร้างการเติบโตให้กับยอดสินเชื่อรวมได้อย่างแข็งแกร่งที่ 2% เมื่อเทียบกับปี 2565 โดยลูกค้าเจ้าของรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู มินิ หรือมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด จำนวนประมาณ 50% ยังคงให้ความไว้วางใจและเลือกรับบริการทางการเงินจากบีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย
ซึ่งแสดงให้เห็นถึงคุณภาพของการบริการและความเชื่อมั่นจากลูกค้า ตอกย้ำด้วยผลการประเมินคะแนนความพึงพอใจของผู้บริโภค (NPS Score) ซึ่งได้รับคะแนนประสบการณ์ลูกค้าสูงสุดในปีที่ผ่านมา โดยเพิ่มขึ้นถึง 10 คะแนน ในช่วงท้ายอายุสัญญาทางการเงิน แสดงให้เห็นถึงความพึงพอใจของลูกค้าตลอดระยะเวลาสัญญา
ทั้งนี้ บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย ยังสร้างผลงานที่เข้มแข็งในกลุ่มธุรกิจสินเชื่อรถยนต์มือสองซึ่งเติบโตกว่า 25% ปีต่อปี มีอัตราการเข้าถึงตลาดลูกค้าองค์กรกว่า 62% สะท้อนถึงความไว้วางใจและความสำเร็จจากการมุ่งมั่นในกลยุทธ์ที่คำนึงถึงลูกค้าเป็นหลัก ซึ่งจะเห็นได้จากการลงทุนเพิ่มเติมในปี 2566 เพื่อพลิกโฉมประสบการณ์ลูกค้าหลากหลายรูปแบบ
โดยในปีที่ผ่านมา บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย ได้เปิดตัว BMW Thailand Web Online Shop ซึ่งช่วยให้ลูกค้ายืนยันตัวตนรูปแบบดิจิทัล (National Digital ID - NDID) รวมทั้งการรองรับลายเซ็นดิจิทัลในการให้บริการ เพื่อให้ลูกค้าสามารถสมัครบริการทางการเงินได้อย่างสะดวกสบาย ลดกระบวนการสแกนหรืออัพโหลดเอกสาร รวมถึงช่วยลดระยะเวลา การยืนยันรายละเอียดของสัญญาให้เหลือเพียงไม่กี่คลิก
โดยบริการด้านดิจิทัลเหล่านี้ช่วยประหยัดเวลาและอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าขึ้นไปอีกขั้น ช่วยให้กระบวนการประเมินเพื่ออนุมัติการปล่อยสินเชื่อเสร็จสิ้นได้อย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่นาที และยังทำให้กระบวนการดำเนินงานหลังบ้านเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ยังได้มีการเปิดตัวธุรกิจประกันภัยพร้อมบริการประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อเพื่อตอบโจทย์ลูกค้า ภายใต้ชื่อ “บริษัท บีเอ็มดับเบิลยู อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ (ประเทศไทย) จำกัด” อีกด้วย สำหรับในปี 2567 บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย ยังวางแผนที่จะขยายส่วนธุรกิจอย่างต่อเนื่องด้วยการนำเสนอบริการประกันรถยนต์และบริการขยายระยะเวลาการประกัน
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : มาแล้ว! New BYD ATTO 3 ราคาเริ่มต้น 899,900 บาท
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine