อุตสาหกรรมเกมในไทยเติบโตต่อเนื่อง YGG SEA เปิดตัวรุกตลาดไทยและอาเซียน ชูโมเดล เพลย์-ทู-เอิร์น (play-to-earn) พร้อมเสนอขายโทเค็น $SEA เจาะตลาดเกมเมอร์ ผนึก Bitkub บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ ลงทุนสร้างนักพัฒนาเกมรองรับการเติบโตอนาคต
Simon-Kucher & Partners คาดว่าอุตสาหกรรมเกมทั่วโลกจะมีมูลค่า 1.7 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ และจำนวนผู้เล่นเกมจะเพิ่มขึ้นเป็น 3,000 ล้านคนในปี 2023 สอดคล้องกับที่สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า สำรวจอุตสาหกรรมเกมในประเทศไทย มีมูลค่าประมาณ 34,000 ล้านบาท ในปี 2563 เติบโตร้อยละ 35 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ถือเป็นอัตราการเติบโตที่สูงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดสถานการณ์โควิด ปัจจุบันในประเทศไทยมีผู้เล่นเกมสูงถึง 27 ล้านคน Evan Spytma ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ ผู้ร่วมก่อตั้ง ยีลด์กิลด์เกม เอเชียตะวันตกเฉียงใต้ หรือ YGG SEA บริษัทสตาร์ทอัพกิลด์เกมบล็อกเชน เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมเกมในประเทศไทยถือเป็นตลาดที่แข็งแกร่งในภูมิภาคนี้ และโดยเฉพาะนักเล่นเกมชาวไทยทักษะการเล่นเกมสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ซึ่งอุตสาหกรรมเกมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีอัตราการเติบโตสูงและถือเป็นโอกาสทางธุรกิจที่มีศักยภาพ “บริษัทฯ จึงเข้ามาเปิดสำนักงานในประเทศไทย รวมทั้งอินโดนีเซีย มาเลเซีย และ เวียดนาม และจะเปิดอีก 4 ประเทศภายในสิ้นปีนี้ และตั้งเป้าจะครอบคลุมทั่วทั้งตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายในปี 2567”ชูโมเดลธุรกิจ เพลย์-ทู-เอิร์น (play-to-earn)
Evan กล่าวว่า ได้ก่อตั้ง YGG SEA เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2564 โดยมีเป้าหมายสร้างระบบเศรษฐกิจโลกเสมือนเพื่อการเล่นเกมเพลย์-ทู-เอิร์นที่ใหญ่ที่สุดและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งแนวโน้มการเล่นเกมเพลย์-ทู-เอิร์น Play-to-Earn (P2E) เล่นเพื่อรับรายได้เป็นเหรียญ ซึ่งปัจจุบันมี 2 ประเภท คือ NFT เช่น ไอเท็มในเกม ของสะสม และ Fungible Token หรือ สกุลเงินดิจิทัลในเกม เป็นเทรนด์ที่มีแนวโน้มได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นทั่วโลกและในประเทศไทย ทั้งนี้ YGG SEA เปิดโอกาสให้เกมเมอร์ทุกคนสามารถสัมผัสประสบการณ์การเล่นเกมแนว Play-to-Earn (P2E) ชื่อดังต่างๆ ได้โดยไม่จำเป็นต้องมีเงินต้น หรือ ลงทุนแต่อย่างใด โดยทาง YGG SEA ได้จัดตั้งโครงการ Scholarship Program เพื่อมอบสิทธิพิเศษให้กับสมาชิกด้วยการออกเงินลงทุนเบื้องต้นให้ สมาชิกกิลด์เกมสามารถ “เล่นเกมโดยไม่ต้องลงทุน แถมยังมีรายได้” อีกด้วย ปัจจุบันมีผู้เข้าร่วม Scholarship Program 11,000 คน และคาดว่าสิ้นปีจะมีสมาชิก 83,000 คน นอกจากนี้ YGG SEA ยังได้เปิดประมูลขายโทเค็น $SEA ทั้งหมดจำนวน 75 ล้านเหรียญ โดยเป็นการเปิดเสนอขายต่อสาธารณะแบบ Initial DEX Offer (IDO) บนแพลตฟอร์ม Copper launchpad ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 7.5 ของจำนวนโทเค็น $SEA ทั้งหมดหนึ่งพันล้านโทเค็น โดยมีราคาเริ่มต้นที่ $0.50 เพื่อรองรับความต้องการของเกมเมอร์ในเครือข่ายของ YGG SEA “ปัจจุบันกระแสความนิยมของการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลอย่าง NFT และการเล่นเกมแบบเพลย์-ทู-เอิร์น (play-to-earn) เพื่อสร้างรายได้ที่กำลังมาแรงและเติบโตอย่างรวดเร็วทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทยที่สินทรัพย์ NFT กำลังเป็นที่จับตามองและได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางจากกลุ่มนักลงทุนและชุมชนผู้เล่นเกมในขณะนี้” สำหรับโทเค็น $SEA เป็นโทเค็นหลักของ YGG SEA ที่ให้สมาชิกชุมชนมีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงในข้อเสนอในการกำกับดูแล (ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มเกมใหม่ๆ การจัดอีเว้นท์ให้กับสมาชิกในชุมชน ฯลฯ) ไปจนถึงการจัดสรรรีวอร์ดตอบแทนของระบบนิเวศ คุณลักษณะ/โมเดลรางวัลที่เป็นที่ต้องการมากที่สุด ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการในแต่ละท้องถิ่น อีวาน กล่าวว่า บริษัทฯ ได้วางแผนการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย โดยจะมุ่งสร้างชุมชนคนเล่นเกมให้แข็งแกร่ง โดยร่วมมือกับพันธมิตร หน่วยงานภาครัฐ มหาวิทยาลัย เพื่อขยายความร่วมมือในโครงการ Scholarship Program และล่าสุด ได้จับมือกับ Bitkub ในการซื้อขายโทเค็น $SEA และบมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ ในการลงทุนสร้างนักพัฒนาเกมในประเทศไทย ซึ่งจะทำให้ระบบนิเวศ (Ecosystem) ในอุตสาหกรรมเกมของประเทศไทยแข็งแรงขึ้น ปัจจุบัน YGG SEA ได้มีการลงทุนในเกมชั้นนำของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้วใน 76 โครงการ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2564 เป็นต้นมา มูลค่าการลงทุนกว่า 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสมาชิกกิลด์เกม YGG SEA สามารถเข้าถึงเกมจำนวนกว่าสิบเกม และมีแผนเตรียมออกเกมอีกมากมายที่จะเปิดตัวภายในปีนี้ อ่านเพิ่มเติม: เครดิต สวิส เผย 6 ปัจจัยที่มีผลกับการลงทุนผ่านเทรนด์การลงทุนโลกไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine