‘วีเอสที อีซีเอส’ ได้อานิสงส์ตลาดสัตว์เลี้ยงรุ่ง หนุนสินค้าไอทีโตคาดรายได้แตะ 4 หมื่นล้าน - Forbes Thailand

‘วีเอสที อีซีเอส’ ได้อานิสงส์ตลาดสัตว์เลี้ยงรุ่ง หนุนสินค้าไอทีโตคาดรายได้แตะ 4 หมื่นล้าน

วีเอสที อีซีเอส ผู้ค้าส่งสินค้าไอทีรายใหญ่ ได้อานิสงส์ตลาดสัตว์เลี้ยงรุ่ง รับเทรนด์ Pet Parent ขยายตัวสูง หนุนกลุ่มสินค้าไอทีตอบรับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคเติบโตเท่าตัวต่อเนื่อง 3 ปี เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ห้องน้ำแมวพร้อมเครื่องดับกลิ่นติดกล้องวางจำหน่ายซัมเมอร์นี้ ขณะที่ภาพรวมสินค้าไอทียังเติบโตรับเทรนด์เทคโนโลยีเปลี่ยนเร็ว พร้อมเปิดตัวสินค้าใหม่ ขยายกลุ่มสินค้าประหยัดพลังงานในบ้าน รถอีวี ดันรายได้ 4 หมื่นล้านบาท


    สมศักดิ์ เพ็ชรทวีพรเดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจค้าส่งสินค้าไอที กล่าวว่า กลุ่มสินค้าไอทีเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดย วีเอสที อีซีเอส มียอดขายเพิ่มขึ้นเท่าตัวต่อปีต่อเนื่อง 3 ปี ซึ่งเป็นไปตามเทรนด์ของผู้บริโภคที่เลี้ยงสัตว์เหมือนลูก และติดตามดูแลเอาใจใส่ผ่านอุปกรณ์เทคโนโลยีที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และมีอินเตอร์แอคทีฟกับสัตว์เลี้ยงมากขึ้น

    โดยอุปกรณ์สัตว์เลี้ยงจะมีกลุ่มผลิตภัณฑ์ให้น้ำ ให้อาหาร และกลุ่มที่ให้ความบันเทิง (Entertain) ปีที่แล้วสินค้าห้องน้ำแมวมาแรง และปีนี้บริษัทจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ห้องน้ำแมวรุ่นใหม่ที่มีระบบดับกลิ่นและติดกล้องในตัว ทำตลาดในช่วงปิดเทอมซัมเมอร์ ซึ่งเป็นช่วงที่สินค้าขายดี

    “ตลาดกลุ่มสัตว์เลี้ยงมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องเพราะเทคโนโลยีกำลังพัฒนา อย่างปีที่แล้วห้องน้ำแมวจะมาแรง ปีนี้จะอัพเกรดขึ้นไปอีก เป็นห้องน้ำแมวพร้อมตัวดับกลิ่น และล่าสุดจะเป็นห้องน้ำแมวพร้อมตัวดับกลิ่นและติดกล้อง แสดงให้เห็นว่าคนเรามีอินเตอร์แอคทีฟกับสัตว์เลี้ยงเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงซีซันนอล อย่างช่วงซัมเมอร์หรือช่วงปิดเทอม ตลาดดังกล่าวจะได้รับความนิยมมาก เนื่องจากเป็นช่วงที่คนอยู่บ้าน เด็กอยู่บ้าน และคาดว่าตลาดดังกล่าวนี้จะได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น”

    สำหรับเทรนด์การเลี้ยงสัตว์เสมือนคนในครอบครัว (Pet Parent) ในประเทศไทยกำลังเติบโตสูง ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์คาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 8.4% หรือมีมูลค่ากว่า 6 หมื่นล้านบาท ในปี 2569 ขณะที่วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) เผยผลสำรวจล่าสุด พบว่า เทรนด์เลี้ยงสัตว์เป็นลูก (Pet Parent) จะมีค่าใช้จ่ายในการดูแลสัตว์เลี้ยงเฉลี่ยอยู่ที่ 14,200 บาทต่อตัวต่อปี

    สมศักดิ์ กล่าวว่า ปัจจุบันสินค้ากลุ่มไลฟ์สไตล์และสัตว์เลี้ยง มีสัดส่วน 10% จากรายได้รวมของบริษัท แต่มีแนวโน้มเติบโตสูง โดยยอดจำหน่ายอุปกรณ์ไอที 100% จะเป็นสินค้าไอทีเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง 4% ซึ่งมาจากกลยุทธ์ของบริษัทในการทำตลาด 1+n คือสินค้าสมาร์ทโฟน 1 เครื่อง สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ได้อีกหลากหลายชิ้น ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ทำให้บริษัทเติบโต


ตลาดสินค้าไอทีเติบโตหนุนรายได้ 4 หมื่นล้าน

    สมศักดิ์ เพ็ชรทวีพรเดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร วีเอสที อีซีเอส กล่าวว่า ภาพรวมสินค้าไอทีในประเทศไทยยังเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งเป็นไปตามเทรนด์การพัฒนาเทคโนโลยีที่เปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็ว ทำให้บริษัทมียอดขายเติบโตเป็นตัวเลขสองหลักต่อเนื่อง โดยปีที่ผ่านมามีรายได้ 38,000 ล้านบาท และปีนี้คาดว่าจะมีรายได้แตะ 40,000 ล้านบาทเติบโต 10% จากปีที่ผ่านมา

    โดยบริษัทมีการทำตลาดผลิตภัณฑ์รวม 4 กลุ่ม ที่ครอบคลุมทุกความต้องการของผู้บริโภค อีกทั้งบริษัทฯยังมีกลยุทธ์ในการสรรหาและนำเสนอสินค้าที่ตอบโจทย์เหมาะสมกับทุกธุรกิจตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงธุรกิจขนาดใหญ่ ได้แก่ กลุ่มคอนซูเมอร์, คอมเมอร์เชียล, โซลูชัน และดีไวซ์แอนด์ไลฟ์สไตล์ โดยมุ่งจัดจำหน่ายสินค้าผ่านตัวแทนจำหน่ายของบริษัท (ดีลเลอร์) 100% ปัจจุบันมีดีลเลอร์ 5,000 - 6,000 รายทั่วประเทศ และล่าสุดได้ขยายสาขาเพิ่ม 11 แห่งครอบคลุมทุกภูมิภาคเพื่อช่วยสนับสนุนดีลเลอร์ในการทำตลาดให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าในจังหวัดต่างๆ

    ปัจจุบันวีเอสที อีซีเอส ทำตลาดดีไวซ์ทั้งหมด 7 แบรนด์ ซึ่งถือเป็นผู้จัดจำหน่ายรายเดียวที่มีไลน์ผลิตภัณฑ์ครบและหลากหลายตรงความต้องการ ตั้งแต่สมาร์ทโฟนระดับซูเปอร์ลักซัวรี่ไปจนถึงอัลตร้าโลว์คอส อาทิ Apple Samsung รวมถึงผลิตภัณฑ์ในกลุ่มแมส อย่าง ITEL Infinix ZTE Wiko เป็นต้น

    “บริษัทเราจะถือแบรนด์สินค้าที่ครอบคลุมตั้งแต่ระดับ high จนถึง low และมีความเสถียรในองค์กรสูงมาก เพราะผู้บริหารระดับกลางทุกคนอยู่ครบ สามารถสานต่อคอนเนคชั่นกับรีเซลเลอร์ได้อย่างต่อเนื่อง โดยมองว่าสินค้าไอทีเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีต้องใช้ ไม่ได้ยึดติดกับสภาพเศรษฐกิจ และเราเน้นกลยุทธ์ที่รู้จักสรรหาและนำเสนอสินค้าที่มีราคาและไซส์ที่ตอบโจทย์เหมาะสมกับทุกธุรกิจ เป็นทางเลือกให้กับลูกค้า ไม่ว่าจะขนาดใหญ่ เล็ก หรือเอสเอ็มอี” สมศักดิ์กล่าว

    สำหรับแนวทางการขยายธุรกิจ จะเน้นผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภครุ่นใหม่ ทั้งในเรื่องของ Health Improvement Home Improvement และ Pet Improvement นอกจากนี้ยังขยายกลุ่มเทคโนโลยีพลังงานสะอาด เช่น รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า โดยมุ่งทำธุรกิจแบบ B2B โดยจับมือกับ Grab นำรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ภายใต้แบรนด์ Storm สำหรับไรเดอร์ จำนวน 3,000 คัน และจะเริ่มทำตลาดระดับ B2C ในช่วงครึ่งปีหลัง

    ล่าสุดได้ร่วม MOU กับกระทรวงอุตสาหกรรม แบรนด์ Strom และสมาคมผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างในเรื่องพลังงานสะอาด ชื่อโครงการ GreenWin เพื่อให้ผู้ขับขี่วินมอไซค์ หันมาใช้รถ EV เพื่อช่วยลด PM2.5 และทำโครงการ swab battery ให้บริการเปลี่ยนแบตเตอรี่ที่หมดแล้วผ่านทางตู้อัจฉริยะ ซึ่งบริษัทมีแผนเปิดตู้บริการอัจฉริยะให้ครบทั้ง 11 สาขาทั่วไทยทุกภาคภายในปีนี้


ทุกกลุ่มธุรกิจขยายตัวต่อเนื่อง

    ด้านกลุ่มธุรกิจ Commercial ปี 2566 ที่ผ่านมา มีการเติบโตค่อนข้างดีประมาณ 30% ในช่วงไตรมาสที่ 1 และ 2 สำหรับปีนี้คาดว่าจะโตประมาณ 20% โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์โน้ตบุค, เซิร์ฟเวอร์, สตอเรจ การที่จะสร้างการเติบโตได้จะต้องอาศัยการทำการตลาดแนวใหม่ (Vertical product) เพื่อให้ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย ดำเนินงานไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งทางบริษัทฯ ได้สร้างทีมงานสำหรับรับผิดชอบส่วนนี้แล้ว และในส่วนของช่องทางการจำหน่ายจากลูกค้ารายใหญ่ลงสู่รายย่อย บริษัทได้เตรียมเน้นพัฒนาคนเพื่อการทำการวางระบบ

    ส่วนกลุ่มธุรกิจ Consumer ในปีนี้ตั้งเป้าเติบโตสองหลักเช่นเดียวกัน โดยมีการเพิ่มแบรนด์สินค้าเข้ามา อย่างโน้ตบุคเดิมมี 5 แบรนด์หลัก ตอนนี้บริษัทฯ ได้เพิ่มแบรนด์ใหม่เข้ามา คือ msi เป็นตัวเกมมิ่งที่คาดว่าจะเติบโตได้เป็นอย่างดี อีกส่วนหนึ่งคือกระแสของ AI ที่จะเข้ามาในครึ่งปีหลังนี้ จะมีสินค้าเป็น AI CPU และจากการขยายสาขาออกต่างจังหวัด 11 จังหวัด เป็นการขยายในเชิงแนวกว้าง จะช่วยขยายธุรกิจกลุ่ม Consumer ในต่างจังหวัดได้มากขึ้น และจะช่วยขยายสินค้าในกลุ่ม fast moving ให้สามารถส่งของให้กับลูกค้ารายย่อยในจังหวัดภายใน 3 ชั่วโมง

    กลุ่มธุรกิจ Enterprise คาดว่าจะกลับมาคึกคักอีกครั้งหลังจากรัฐบาลผ่านงบประมาณรายจ่ายประจำปี โดยผลิตภัณฑ์ในกลุ่มซอฟต์แวร์ Security จะมาแรง ตามกระแสการให้ความสำคัญกับความปลอดภัยไซเบอร์ โดยบริษัทฯ ได้เตรียมขยายแบรนด์สินค้าเพิ่มอย่าง Sangfor จากเดิมที่ถือแบรนด์หลักอยู่ 4 ตัวคือ F5, Fortinet, Bitdefender และ Kaspersky

    “ในปีที่ผ่านมา เราได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์กลุ่มใหม่ Power Management ที่เป็นพลังงานทางเลือก เช่น โซล่ารูฟ, อินเวอร์เตอร์ เกี่ยวกับพลังงานไฟฟ้า แบรนด์ Fusionsolar, Trinasolar, TSUN, Longi อีกกลุ่มคือกลุ่ม CCTV รองรับตลาดโฮมยูสและภาครัฐบาล ข้อได้เปรียบของเราคือ เราเป็นดิสทริบิวเตอร์ที่มีสินค้าในกลุ่มคอมเมอร์เชียลและเอนเตอร์ไพรส์ครบมากที่สุดในประเทศ” สมศักดิ์กล่าว


เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : นีโอ คอร์ปอเรท (NEO) เตรียม IPO เสนอขายหุ้นละ 39 บาท เปิดจองซื้อวันแรก 28 มีนาคมนี้

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine