Solar D ชูนวัตกรรม 'หุ่นยนต์ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์' ครบวงจรครั้งแรกในไทย ติดตั้งเร็วกว่าเดิม 10 เท่า - Forbes Thailand

Solar D ชูนวัตกรรม 'หุ่นยนต์ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์' ครบวงจรครั้งแรกในไทย ติดตั้งเร็วกว่าเดิม 10 เท่า

'Solar D' Game Changer ตลาดโซลาร์เซลล์เมืองไทย เปิดตัวนวัตกรรม 'หุ่นยนต์ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์' ครบวงจรครั้งแรกในไทย ติดตั้งเร็วกว่าเดิมถึง 10 เท่า ปีหน้าเตรียมพัฒนาเวอร์ชันใหม่ พร้อมนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2569 ระดมทุนกว่า 1,000 ล้านบาท ผลิตไฟฟ้าขายระยะยาวป้อนภาคอุตสาหกรรม และดึงคนไทยผลิตไฟฟ้าใช้เองในครัวเรือนมากขึ้น


    สัมฤทธิ์ สิทธิวรานุวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โซลาร์ ดี คอร์ปอเรชัน จำกัด หรือ Solar D ผู้จัดจำหน่ายและติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์แบบครบวงจร กล่าวว่า การตื่นตัวเรื่องตลาดพลังงานทดแทนโซลาร์เซลล์ในเมืองไทยอย่างต่อเนื่องทุกปี สะท้อนจากจำนวนผู้เล่นที่เข้ามาในตลาดนี้เพิ่มขึ้นและการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้น ทำให้มีการใช้โซลาร์เซลล์ปีละ 1,000-2,000 เมกะวัตต์ หรือมีมูลค่าถึง 30,000-40,000 ล้านบาทต่อปี และตลาดจะขยายตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต ตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้มีการใช้พลังงานสะอาดในประเทศเพิ่มเป็น 60% ในปี 2040 อีกทั้งยังตอบสนองกับกฎข้อบังคับการค้าจากต่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้น

    ดังนั้น Solar D จึงพยายามคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ สู่ตลาดรองรับการแข่งขันและการเติบโตของตลาดที่มีอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดฝ่ายวิจัยและพัฒนาของบริษัทได้คิดค้นผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกสิทธิ์ ‘หุ่นยนต์ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์’ Light Speed 1.0 มาใช้ เพื่อลดระยะเวลาในการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาเหลือเพียง 6 วันต่อ 1 เมกะวัตต์ จากการติดตั้งในรูปแบบเดิมที่ใช้แรงงานคนที่จะต้องใช้เวลานานถึง 60 วัน 

    “ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เราพบปัญหาในธุรกิจโซล่าร์เซลล์หลายอย่าง โดยเฉพาะการติดตั้งโซลาร์เซลล์ให้เร็วกว่าเดิม เป็น pain point ของทุกคนในอุตสาหกรรมนี้ หุ่นยนต์เทคโนโลยี Light Speed version 1.0 จึงเกิดขึ้น ไม่ใช่เพียงเพื่อจะอยากจะเติบโตธุรกิจไปเรื่อยๆ แต่ต้องการเข้าไปจัดการและเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องพลังงานสะอาด จนนำไปสู่การมี well being ที่ดีขึ้นของคนไทยในอนาคต ซึ่งโซล่าเซลล์มีการเติบโตสูงเกือบ 100% ใน 5 ปีที่ผ่านมา เพราะเป็นเทรนด์ใหม่ของโลก ต้นทุนระบบโซลาร์เซลล์ต่ำลง คนเข้าถึงง่ายขึ้นและคุณภาพดีขึ้น” สัมฤทธิ์กล่าว


    ทั้งนี้ จุดเด่นของ ‘หุ่นยนต์ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์’ 1.0 version อยู่ที่ประสิทธิภาพในการติดตั้งทำได้เร็วกว่าเดิมถึง 10 เท่า ให้ความแม่นยำสูง ช่วยลดจำนวนแรงงานลงได้อีกครึ่งหนึ่ง อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงของความเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่อหลังคา ลดความล่าช้าที่อาจเกิดจากสภาพอากาศ และลดอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นในสถานที่ทำงาน ทั้งหมดนี้ทำให้สามารถลดต้นทุนค่าใช้จ่ายได้เพิ่มขึ้น โดยหากใช้ระยะเวลาในการติดตั้งได้เร็วขึ้น 1 เดือน จะช่วยให้ประหยัดไฟเพิ่มขึ้นประมาณ 6 แสนบาท นอกจากนี้ Solar D ยังได้พัฒนาระบบแบตเตอรี่สำรองเพื่อการจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เสริมโซลูชันที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและส่งเสริมภาพลักษณ์ด้านความยั่งยืนของธุรกิจอีกด้วย

    “ในปีหน้าจะเราขยายบริการและพัฒนาเทคโนโลยี Light Speed 2.0 สำหรับหุ่นยนต์ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ เพื่อให้โซล่าร์เซลล์แข่งขันและลดต้นทุนในระยะยาวได้ อีกทั้งยังรองรับโครงการขนาดใหญ่และความต้องการที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น เพื่อไปสู่เป้าหมายการเป็นผู้นำในตลาดพลังงานสะอาดระดับภูมิภาค” สัมฤทธิ์กล่าวเสริม

    สันติ ศรีชวาลา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการค้า บริษัท โซลาร์ ดี คอร์ปอเรชัน จำกัด เผยว่า หุ่นยนต์ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ จะรองรับกลุ่มเป้าหมายหลัก คือเจ้าของอาคารขนาดกลางและขนาดใหญ่ที่ใช้ไฟมากๆ และต้องการติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาหรือในพื้นที่กว้าง ซึ่งการใช้หุ่นยนต์ในการติดตั้งไม่เพียงแต่จะช่วยเรื่องความรวดเร็วและคุ้มค่ามากยิ่งขึ้นเท่านั้น แต่ยังสามารถลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา และความเสี่ยงในกระบวนการติดตั้งบนหลังคาได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย

    บริษัทฯ จะแนะนำหุ่นยนต์ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ของ Solar D ผ่านการให้ความรู้ผ่านสื่อออนไลน์และเว็บไซต์ของบริษัท  พร้อมร่วมจัดงานแสดงสินค้าและการเข้าร่วมสัมมนาด้านพลังงาน รวมถึงการทำตลาดร่วมกับพันธมิตรธุรกิจต่างๆ ในด้านพลังงานและโรงงานอุตสาหกรรม 

    “ตลาดโซลาร์เซลล์ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก เพราะปัจจุบันในเมืองไทยมีการใช้ solar energy เพียง 7% หรือ 10,000 MW เท่านั้น ขณะที่ที่เหลืออีก 93% หรือ 203, 750 GWh เป็นพลังงานจากแหล่งอื่นๆ ที่ซื้อจากประเทศเพื่อนบ้าน  และจากโรงไฟฟ้า เป็นต้น” สันติกล่าว นอกจากนี้ปริมาณการใช้ไฟฟ้าของคนไทยต่อหัวต่อคนต่อปียังมีเพียง 3,333 kWh เท่านั้นเมื่อเทียบกับประเทศสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย สิงคโปร์ ที่สูงถึง 11,884, 9,489 และ 8,348 kWh ตามลำดับ นี่แสดงถึงไฟฟ้ายังเข้าถึงชุมชนได้ในวงจำกัด จึงเป็นโอกาสที่โซลาร์เซลล์จะเติบโตได้ในอนาคต


    ทั้งนี้ นอกจาก Solar D จะให้บริการติดตั้งโซลาร์เซลล์แล้ว สัมฤทธิ์ยังกล่าวด้วยว่า เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว บริษัทจะมีการพัฒนาหุ่นยนต์ติดตั้งแผงโซล่าร์เซลล์ เทคโนโลยี่ LightSpeed 2.0 เพื่อรองรับความต้องการที่ซับซ้อนมากขึ้น และยังจะขยายบริการไปสู่การทำธุรกิจภายใต้สัญญาเพื่อซื้อขายไฟฟ้ากับบริษัทเอกชนในระยะยาวมากขึ้น โดยปัจจุบันสัดส่วนลูกค้าภายใต้สัญญาดังกล่าวมีอยู่แล้วประมาณ 10 ราย คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 10% ของรายได้บริษัททั้งหมด คาดว่าสัดส่วนรายได้จากการขายไฟฟ้าให้เอกชนจะเพิ่มอีกเท่าตัวเป็น 20% ในอนาคต


    แหล่งข่าวระดับสูงของบริษัทกล่าวว่า บริษัทจะระดมทุนจากการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ในอีก 2 ปีข้างหน้าเป็นเงินประมาณ 1,000 ล้านบาท เพื่อนำเงินมาลงทุนโซลาร์เซลล์เพื่อผลิตไฟฟ้า จำหน่ายไฟฟ้าตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว โดยมูลค่าการลงทุนจะอยู่ที่ 20 ล้านบาท ต่อขนาดไฟฟ้า 1 เมกกะวัตต์ คาดว่าน่าจะมีลูกค้าที่ต้องการใช้ไฟฟ้าผ่านสัญญาการซื้อขายไฟฟ้าในระยะยาวประมาณ 100 เมกกะวัตต์ ขณะนี้อยู่ระหว่างพูดคุยกับที่ปรึกษาทางการเงินอยู่ 2-3 ราย แต่ยังไม่ได้สรุปว่าจะเลือกใคร

    อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์หลักของ Solar D ประกอบด้วยการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ สำหรับภาคครัวเรือนและอุตสาหกรรม ทั้งในรูปแบบ Solar Rooftop, Solar Farm และ Solar Floating รวมถึงโครงการติดตั้งขนาดใหญ่, อีวี ชาร์จเจอร์ และอุปกรณ์กักเก็บพลังงาน อย่าง Tesla Powerwall โดยบริษัทมีรายได้จากโซล่าเซลล์ 200 ล้านบาทในปี 2020 และเพิ่มเป็นเกือบ 1,000 ล้านบาทในปี 2023 ซึ่งคาดว่ารายได้ปีนี้จะอยู่ที่ 1,400-1,500 ล้านบาท พร้อมคาดการณ์ในปีหน้า รายได้จะโตเพิ่มเป็น 2,000 ล้านบาท


ภาพ : Solar D 



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ฟูจิฟิล์ม เผย ธุรกิจบริการด้านดิจิทัลโตต่อเนื่อง ตั้งเป้ารายได้บริการด้านไอทีโตเพิ่มจาก 29% ปี 2024 เป็น 31% ปี 2026

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine