ตลาดเกมไทยเนื้อหอม Playwith จากเกาหลีใต้เปิดตัว Seal M บนมือถือ พร้อมดาวน์โหลด ผ่าน App Store หรือ Play Store ตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม 2566 พร้อมกับเกมเมอร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชูโมเดล Play-to-Earn เล่นเกมได้ PLWI Token คาดยอดดาวน์โหลดพุ่ง 1 ล้านรายใน 1 เดือน
สำนักงานเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า รายงานตัวเลขอุตสาหกรรมเกมในประเทศไทยมีมูลค่าราว 40,000 ล้านบาท และเติบโตสูงมากในช่วงโควิดที่ผ่านมา ขณะที่โครงสร้างพื้นฐานระบบ 5G ที่มีการพัฒนาอย่างมากเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้การพัฒนาเกมบนมือถือเป็นโอกาสทางธุรกิจที่ทั่วโลกให้ความสนใจ ที่สำคัญจำนวนคนไทยเล่นเกมมีมากกว่า 30 ล้านคน ถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพมากสำหรับผู้พัฒนาเกมจากทั่วโลก
HakJoon Kim ประธานบริหาร เพลย์วิธ (Playwith Inc.) ประเทศเกาหลีใต้ กล่าวว่า แนวโน้มตลาดเกมในประเทศไทยมีการเติบโตสูงต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทได้เข้ามาเปิดตัวเกม Seal online ในเดือนมีนาคม 2560 ได้รับการตอบรับที่ดีจากแฟนๆ มาโดยตลอด หลังจากผ่านไป 6 ปี ได้มีการพัฒนาจาก Seal online IP สู่ Seal M เพื่อผู้เล่นชาวไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยจะเปิดตัว Seal M พร้อมกันอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 11 พฤษภาคม 2566 นี้
Seal online เป็นเกมที่มีผู้เล่นประมาณ 10 ล้านคนทั่วโลก ตลาดหลักอยู่ในจีน ไต้หวัน สหรัฐอเมริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยประเทศไทยเป็นตลาดหลักที่มีผู้เล่นมากกว่า 50,000 คน ถือเป็นอันดับ 1 ในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และจากการเปิดตัว Seal M ในครั้งนี้ คาดว่าจะมีผู้ดาวน์โหลดผ่าน App Store หรือ Play Store มากกว่า 1 ล้านดาวน์โหลด ภายใน 1 เดือน และ 5 ล้านดาวน์โหลดภายใน 1 ปี
“Seal online เป็นเกมที่ได้รับความรักจากเกมเมอร์ทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาเป็นเวลานาน เต็มเปี่ยมไปด้วยความทรงจำทุกหนแห่ง และเพื่อเป็นการร่วมสร้างความทรงจำต่อไปอีกนานๆ ล่าสุด เราจึงเปิดตัว Seal M อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 11 พฤษภาคม 2566 นี้ ซึ่ง Seal M จะตอบสนองความต้องการของผู้ที่รักใน Seal Online ซึ่งจะแตกต่างจากเกม Seal บนสมาร์ทโฟนที่เคยเปิดมาก่อน” Kim กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทได้พัฒนา PLWI Token เพื่อตอบโจทย์ผู้เล่น เพื่อตอบแทนความสนับสนุนและฟีดแบ็กที่ดีจากผู้เล่นโดยไม่ต้องไปขุดหาไอเทม หรือจ่ายเงินเพื่อเล่นเกมให้ชนะ (Pay-to-Win) ซึ่งจะทำให้เกมมีความสนุกยิ่งขึ้นไปอีก
“ในภาษาเกาหลี คำว่า อุนมยอง (운명) แปลว่า พรหมลิขิต ซึ่งความหมายไม่ใช่แค่ได้พบเจอเท่านั้น แต่ยังเป็นความผูกพันลึกซึ้ง เป็นคนที่เราจะต้องพบเจอและคงความสัมพันธ์นั้นไปตลอด ดังนั้นความหวังของ PLAYWITH ก็คือ การได้นำเสนอคอนเทนต์ที่สนุกสนานให้แก่ผู้เล่น และสื่อสารกัน โดยยังคงความสัมพันธ์กับผู้เล่นให้ยาวนานที่สุด” HakJoon Kim กล่าว และนี่คือกลยุทธ์ใหม่ของ Playwith ในการทำตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
พัฒนาโมเดลใหม่เจาะคนไทย
ด้าน JeongHyun Park หัวหน้าฝ่ายพัฒนาเกม กล่าวว่า ระบบต่างๆ ภายในเกม Seal M นั้น ได้มีการพัฒนาและต่อยอดจากจุดเด่นของเกม Seal Online ที่พัฒนาจากสำรวจความต้องการของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็น กราฟฟิกสไตล์การ์ตูน ที่มีลายเส้นสวยงามไม่เหมือนใคร หรือจะเป็นระบบสัตว์เลี้ยง ที่มีความหลากหลาย สามารถพัฒนาขีดความสามารถเพื่อช่วยเหลือในการต่อสู้ได้เช่นกัน
รวมไปถึงคอสตูม ที่สำคัญยังช่วยเพิ่มความสามารถให้ตัวละครภายในเกมอีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีไฮไลต์สำคัญ คือ ระบบคอมโบ ที่ช่วยโจมตีได้อย่างต่อเนื่อง และมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงไอเทมน่าสนใจอีกมากมายที่เราได้ออกแบบ และพัฒนาเกมให้เหมาะสมกับในเวอร์ชันมือถืออีกด้วย
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีแผนที่จะอัปเดตคอนเทนต์ภายในเกมให้รวดเร็ว หลังจากที่เปิดให้บริการไปแล้ว ซึ่งได้เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี เพื่อให้เกม Seal M เป็นที่ถูกใจของผู้เล่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากที่สุด รวมถึงชาวเกมเมอร์ในประเทศไทย
JaeYong Lee หัวหน้าฝ่ายพัฒนาธุรกิจ กล่าวว่า กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจในประเทศไทยนั้น บริษัทได้ออกแบบเหรียญ PLWI Token ให้มีความเชื่อมโยงกับตัวเกม Seal M ซึ่งจะแตกต่างจากเกม Play-to-Earn (P2E) ทั่วๆ ไป โดย Seal M นั้นจะใช้วิธีการเล่นเกมแทนการขุด (Mining) เพื่อให้ได้รับ Token แทน
ขณะเดียวกันเพื่อให้เป็นการเข้าถึงผู้ใช้งานให้ใกล้ชิดมากขึ้น ได้ประกาศการทำ AMA หรือ Ask Me Anything บนแพลตฟอร์ม Discord เพื่อจะได้มีการพูดคุยสอบถามกับผู้ใช้งานได้โดยตรงอีกด้วย
สำหรับ Play-to-Earn เป็นโมเดลธุรกิจที่ให้ผู้เล่นสามารถใช้งานเหรียญและองค์ประกอบต่าง ๆ ของเกมภายในระบบนิเวศของเกมได้อย่างเต็มที่ และสามารถซื้อขายไอเทม หรือ NFT ในตลาดซื้อขายของแพลตฟอร์มเกมได้ โดยผู้เล่นสามารถนำ NFT ไปซื้อขายใน NFT Marketplace เพื่อทำเงินได้ ทำให้แนวโน้มการเล่นเกม Play-to-Earn ได้รับความนิยมจากเกมเมอร์มากขึ้น
อ่านเพิ่มเติม: ทีเส็บ มั่นใจเศรษฐกิจฟื้นตัวตั้งเป้าปี 2566 รายได้ 1.09 แสนล้าน
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine
