Meta ปรับโครงสร้างองค์กรใหญ่ ปลดฝ่าย AI กว่า 600 คน เพราะมีขนาดใหญ่เกินไป แย่งกันใช้ทรัพยากร-ฝ่ายบริหารความเสี่ยงโดนด้วย เดินหน้าลดกระบวนการแมนนวล ใช้ระบบอัตโนมัติมากขึ้น หลายตำแหน่งจึงถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยี
หลังจาก Mark Zuckerberg ได้เปิดตัวหน่วยงานใหม่ชื่อ Meta Superintelligence Labs ซึ่งประกอบด้วยนักวิจัยและวิศวกร AI ชั้นนำ โดยมี Alexandr Wang เป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่าย AI (Chief AI Officer) คนใหม่ ที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
ล่าสุด CNBC รายงานว่า Meta เตรียมเลิกจ้างพนักงานประมาณ 600 คนภายในหน่วย AI ของบริษัท เพื่อการดำเนินงานให้มีความคล่องตัวมากขึ้น โดยการปลดพนักงานครั้งนี้ ประกาศผ่านบันทึกภายในจาก Alexandr Wang ซึ่งพนักงานที่ได้รับผลกระทบ ประกอบด้วย หน่วยงานด้านโครงสร้างพื้นฐาน AI, หน่วยวิจัยพื้นฐานด้าน AI (Fundamental Artificial Intelligence Research : FAIR) และตำแหน่งอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์
อย่างไรก็ตาม การปลดพนักงานครั้งนี้จะไม่กระทบต่อพนักงานใน TBD Labs ที่ตั้งขึ้นใหม่จากการรวมบุคลากร AI ชั้นนำที่ Meta ดึงตัวมาร่วมงานในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา และเป็นทีมหลักในการพัฒนา Superintelligence โดยอยู่ภายใต้การดูแลของ Alexandr Wang สะท้อนให้เห็นถึงการเดิมพันของ Mark Zuckerberg ที่ให้ความสำคัญกับบุคลากรใหม่ มากกว่าพนักงานกลุ่มเดิม
ทั้งนี้ หน่วยงานด้าน AI ของ Meta ถูกมองว่ามีขนาดใหญ่เกินไป โดยทีมงานอย่าง FAIR และทีมที่เน้นผลิตภัณฑ์มักแย่งชิงกันใช้ทรัพยากรคอมพิวติ้งอยู่เสมอ การปลดพนักงานในครั้งนี้จึงเป็นความพยายามของ Meta ในการปรับโครงสร้างองค์กรให้เล็กลง ซึ่งจะทำให้พนักงานด้าน AI เหลือไม่ถึง 3,000 คน พร้อมตอกย้ำบทบาทของ Alexandr Wang ในการกำหนดทิศทางกลยุทธ์ AI ของบริษัท
โดย Meta ได้แจ้งพนักงานบางส่วนว่า วันที่ 21 พฤศจิกายน 2025 จะเป็นวันสิ้นสุดการทำงานอย่างเป็นทางการ และจนกว่าจะถึงวันนั้น พนักงานจะอยู่ในสถานะช่วงแจ้งเลิกจ้างโดยไม่ต้องทำงาน (non-working notice period) โดยบริษัทจะจ่ายเงินชดเชย 16 สัปดาห์ พร้อมเพิ่มอีก 2 สัปดาห์ต่อทุกปีที่ทำงาน
CNBC ยังระบุอีกว่า ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา Meta ได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ด้าน AI อย่างจริงจัง เพื่อความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่งอย่าง OpenAI และ Google โดยทุ่มงบหลายพันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในโครงสร้างพื้นฐานและการจ้างงานด้าน AI
โดย Mark Zuckerberg เริ่มรู้สึกไม่พอใจกับความคืบหน้าด้าน AI ของบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากการเปิดตัวโมเดล Llama 4 เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งได้เสียงตอบรับที่ไม่ดีนักจากนักพัฒนา
ในรายงานผลประกอบการไตรมาส 2 เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา Meta คาดการณ์ค่าใช้จ่ายรวมในปี 2025 จะอยู่ระหว่าง 1.14 -1.18 แสนล้านเหรียญ ซึ่งสูงกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อไปในปี 2026 เนื่องจากโครงการด้าน AI
ทั้งนี้ Meta ยังเดินหน้าลงทุนอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม เพิ่งประกาศข้อตกลงมูลค่า 2.7 หมื่นล้านเหรียญ กับ Blue Owl Capital เพื่อสร้างและพัฒนาศูนย์ข้อมูล Hyperion ขนาดมหึมาในรัฐลุยเซียนา โดย Mark Zuckerberg เคยระบุว่าศูนย์ข้อมูลแห่งนี้จะมีขนาดใหญ่พอๆ กับเกาะแมนฮัตตันเลยทีเดียว
ฝ่ายบริหารความเสี่ยงโดนด้วย ใช้เทคโนโลยีทำแทนได้
นอกจากพนักงานด้าน AI ที่กำลังจะถูกเลิกจ้างแล้ว Businessinsider รายงานว่า Meta กำลังจะลดจำนวนพนักงานในฝ่ายบริหารความเสี่ยงด้วยเช่นกัน โดยให้เหตุผลว่าบางตำแหน่งจะถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยี และมีการปรับจากกระบวนการจาก “แมนนวล” ไปสู่กระบวนการที่ “อัตโนมัติ” มากขึ้น
Michel Protti ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกำกับดูแลและความเป็นส่วนตัวของผลิตภัณฑ์ของ Meta ได้แจ้งกับพนักงานในฝ่ายบริหารความเสี่ยงเมื่อวันที่ 22 ตุลาคมที่ผ่านมาว่า “ได้มีการเปลี่ยนผ่านจากการตรวจสอบแบบแมนนวลไปสู่กระบวนการที่ใช้ระบบอัตโนมัติมากขึ้น ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งงานในบางส่วนมากเท่าเดิมอีกต่อไป”
การปรับลดพนักงานครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่า “บิ๊กเทค” พร้อมที่จะพึ่งพาระบบอัตโนมัติมากเพียงใด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน ซึ่งเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นในวงกว้าง บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Meta และ Amazon กำลังใช้เทคโนโลยี รวมถึง AI ไม่เพียงเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่ยังเพื่อปรับโครงสร้างองค์กรของตนเองด้วย
Michel Protti ระบุเพิ่มเติมว่า Meta ได้ลงทุนในการสร้างระบบควบคุมทางเทคนิคในระดับโลกตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา และได้พัฒนาอย่างมากในแนวทางการจัดการความเสี่ยงและการปฏิบัติตามกฎระเบียบ
“ด้วยการเปลี่ยนจากกระบวนการตรวจสอบแบบเฉพาะบุคคลมาเป็นระบบอัตโนมัติที่มีมาตรฐานเดียวกัน เราสามารถส่งมอบผลลัพธ์ด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่แม่นยำและเชื่อถือได้มากขึ้น การทำให้กระบวนการเป็นมาตรฐานเดียวกัน หมายความว่าการตัดสินใจจำนวนมากสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยเทคโนโลยี ซึ่งช่วยให้ทีมของเรามีเวลามุ่งเน้นไปที่ความท้าทายที่ซับซ้อนและมีผลกระทบสูงมากขึ้น”
ขณะที่ Thomas Richards โฆษกของ Meta ยืนยันการปรับลดตำแหน่งในฝ่ายบริหารความเสี่ยง โดยบันทึกภายใน ระบุว่า บริษัทมักมีการปรับโครงสร้างอยู่เป็นประจำ เพื่อสะท้อนถึงความเติบโตของโปรแกรมและ นวัตกรรมที่รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยยังคงรักษามาตรฐานด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบในระดับสูง ทั้งนี้ Meta จะลดตำแหน่งในทีม Product Risk Program Manager, Shared Services และ Global Security & Privacy (GSP) พร้อมทั้งรวมศูนย์การทำงานบางส่วนในลอนดอน พร้อมทั้งควบรวมทีม GSP เข้ากับหน่วย Reg Readiness และทีมเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูล (DPO) และจะเปลี่ยนชื่อหน่วยใหม่นี้เป็น Regulatory Compliance Programs
การปรับโครงสร้างครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจาก Meta เพิ่งเลิกจ้างพนักงาน 600 คนจากหน่วย Superintelligence Labs เมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดย Alexandr Wang ระบุว่า บริษัทจะยังคงจ้างผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ชั้นนำในอุตสาหกรรมต่อไป โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ Meta Superintelligence Labs สามารถทำงานได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
Meta ยังเริ่มนำระบบอัตโนมัติมาใช้ในส่วนอื่นๆ ของธุรกิจด้วย เช่น การสรรหาพนักงานโดยใช้ AI ช่วยสัมภาษณ์งาน และประเมินทักษะการเขียนโค้ด นอกจากนี้เมื่อต้นปี Mark Zuckerberg ยังกล่าวว่า ภายในปีนี้บริษัทคาดว่าจะมี AI agent ที่สามารถทำงานในระดับวิศวกรระดับกลางได้จริง
เครดิตภาพ: DREW ANGERER / AFP
แปลและเรียบเรียงจาก Meta tells some employees their jobs are being replaced by tech — read the memo และ Meta lays off 600 from ‘bloated’ AI unit as Wang cements leadership
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : Jeff Bezos บอกเอง! AI กำลังอยู่ในภาวะ ‘ฟองสบู่’ แต่จะสร้างประโยชน์มหาศาลต่อมนุษยชาติ
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine


