เอปสัน ประเทศไทย ฝ่ากระแสเศรษฐกิจโตเกือบยกพอร์ต เผยรายได้ประมาณการปี 2566 โต 8% สวนทางตลาดไอทีขาลง ฉลองครบรอบ 33 ปีก่อตั้งบริษัท พร้อมประกาศเปิดตัวโซลูชั่นเซ็นเตอร์รวมนวัตกรรมใหม่เพื่อความยั่งยืน
ยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปี 2566 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่ท้าทาย ในขณะที่ตลาดไอทีเติบโตลดลงกว่า 10% เมื่อเทียบกับปี 2565 แต่ยอดขายประมาณการทั้งปี 2566 ของเอปสันกลับโตสวนทางเพิ่มขึ้น 8%
ทั้งนี้ นับจาก 5 ปีก่อน บริษัทฯ ได้ทยอยปรับโฟกัสธุรกิจจากตลาด B2C มาเป็น B2B ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนทางเศรษฐกิจมากนัก โดยปัจจุบันธุรกิจ B2B จะมีสัดส่วนอยู่ที่ 40% พร้อมคาดการณ์ใน 3 ปีข้างหน้าสัดส่วนดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเกิน 50% อย่างแน่นอน
ขณะเดียวกันทางบริษัทยังเดินหน้าเพิ่มไลน์อัพสินค้า สร้าง S-curve ใหม่อยู่เสมอ ด้วยการนำนวัตกรรมของเอปสันเข้ามาเปิดตลาด สร้างฐานลูกค้าใหม่ พร้อมช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดจากเทคโนโลยีและแบรนด์คู่แข่ง ทำให้ไม่จำเป็นต้องพึ่งพิงการสร้างรายได้จากสินค้าเดิมหรือสินค้าเพียงกลุ่มเดียว
สำหรับกลุ่มสินค้าของเอปสันที่ทำยอดขายโดดเด่นในปีนี้ ได้แก่ เครื่องพิมพ์ป้ายโฆษณา Epson SureColor S-series และ สแกนเนอร์ที่เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 37%
ถัดมาคือ เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทสำหรับองค์กร Epson WorkForce ที่โตเกือบ 30% ส่วนโปรเจคเตอร์ โดยรวมมีการเติบโตได้ดี เพิ่มขึ้นเกือบ 20% ซึ่งมาจากกลุ่มเลเซอร์โปรเจคเตอร์ความสว่างสูง
เครื่องพิมพ์อิงค์แท็งค์ Epson EcoTank มีการเติบโตเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากตลาดปี 2566 มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงในด้านราคาเพื่อจูงใจผู้บริโภค แต่เอปสันยังสามารถรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดเครื่องพิมพ์อิงค์แท็งค์ไว้ได้ที่สัดส่วน 57% เมื่อธันวาคมที่ผ่านมา ขณะที่กลุ่มเครื่องพิมพ์สิ่งทอ Epson SureColor F-series ไม่แสดงการเติบโต เช่นเดียวกับกลุ่มหุ่นยนต์แขนกล ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว
ด้านตลาดหุ่นยนต์ ผู้บริหารของเอปสันกล่าวว่า ที่ผ่านมามีการชะลอการลงทุนของกลุ่มโรงงานค่อนข้างเยอะ เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังคงซบเซา ซึ่งปีที่ผ่านมา เอปสันเองมีออเดอร์เข้ามาแต่การติดตั้งที่ชะลอออกไป ทำให้ตลาดหุ่นยนต์ในไทยไม่เติบโต แต่ก็คาดการณ์ได้ว่า ตลาดหุ่นยนต์ของไทยในปีนี้จะกลับมาสดใสขึ้น เนื่องจากออเดอร์เดิมมีอยู่แล้ว และเศรษฐกิจโลกคงไม่แย่ไปกว่านี้
พร้อมคาดการณ์รายได้การเติบโตของธุรกิจของปี 2567 จะอยู่ที่ 8% ด้วยเช่นกัน ซึ่งนอกจากเอปสัน ประเทศไทย จะย้ายมาที่สำนักงานใหม่บนชั้น 22 ของอาคารปัน พร้อมฉลองครบรอบ 33 ปีแล้ว (PUNN Smart Workspace) ยังได้ทุ่มงบกว่า 30 ล้านบาทสร้าง Solution Center แห่งใหม่บนพื้นที่มากกว่า 600 ตารางเมตร เพื่อใช้เป็นที่จัดแสดงและสาธิตการใช้งานผลิตภัณฑ์ทุกกลุ่มของเอปสัน เพื่อสร้างประสบการณ์จริงให้กับลูกค้าก่อนตัดสินใจซื้อ ทั้งยังใช้เป็นที่จัดอบรมเทคโนโลยีและโซลูชั่นที่มุ่งสร้างความยั่งยืนให้กับตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
“การลงทุนสร้างโซลูชั่นเซ็นเตอร์แห่งใหม่นี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีการทำงานขององค์กรธุรกิจในไทย ด้วยนวัตกรรมและโซลูชั่นที่ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มผลิตผล แต่ยังช่วยสร้างความยั่งยืนด้วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้เป็นศูนย์ในปี 2593” ยรรยง กล่าว
สำหรับเอปสันในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ได้ขานรับนโยบายดังกล่าวและร่วมกันผลักดันให้ประเด็นความยั่งยืนกลายเป็นกระแสหลักในสังคมธุรกิจของแต่ละประเทศ ผ่านผลิตภัณฑ์และนวัตกรรม และกิจกรรมเพื่อสังคมต่างๆ ทั้งยังร่วมมือกับ World Wildlife Fund หรือ WWF ในการทำโครงการเพื่อสิ่งแวดล้อมที่สามารถสร้างแรงกระทบต่อสังคมวงกว้าง
ด้าน เอปสัน ประเทศไทยเอง นอกจากจะให้ความรู้กับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง เกี่ยวกับคุณค่าด้านความยั่งยืนที่มีอยู่ในเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์แล้วยังได้ทำกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมมาตลอด โดยในปี 2566 ได้มีการทำแคมเปญ ‘33 x Trees’ เพื่อบอกถึงการก้าวเข้าสู่ปีที่ 33 ของบริษัทฯ ด้วยความตั้งใจที่จะช่วยรักษาผืนป่าของไทย โดยชูประเด็นการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าไม้ที่สูญเสียไปจากไฟป่า ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : Maserati เผยโฉมใหม่ GranTurismo รถสปอร์ตอีวี คันแรกในไทย ราคา 12.9 ล้าน
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine
