ลูกค้าต้องรับมือกับเหตุการณ์ต่างๆ ตามที่วางแผนไว้ รวมถึงความเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิด และต้องเร่งดำเนินการในเรื่องที่จำเป็นเพื่อปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ไฮบริดคลาวด์ช่วยให้ลูกค้าของ Red Hat มีความยืดหยุ่นที่จำเป็นเพื่อให้ประสบความสำเร็จในการดำเนินงานไม่ว่าลูกค้าจะเผชิญกับสถานการณ์หรือด้วยเหตุผลใดก็ตาม
ณ งาน Red Hat Summit 2021 นายพอล คอร์เมียร์ ซีอีโอของ Red Hat ได้กล่าวสุนทรพจน์ โดยระบุว่า Red Hat มีแผนที่จะบริจาคสิทธิ์การใช้งานซอฟต์แวร์มูลค่ากว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ให้แก่มหาวิทยาลัยบอสตัน และทำโครงการวิจัย Mass Open Cloud ซึ่งจะช่วยผลักดันการสร้างสรรค์นวัตกรรมในชุมชนโอเพ่นซอร์ส ซึ่ง Red Hat จะพัฒนาต่อยอดนวัตกรรมดังกล่าวเพื่อนำมาใช้งานในระดับองค์กร
สรุปเทคโนโลยีใหม่ที่ประกาศในงาน Red Hat Summit
ด้าน Red Hat ประเทศไทย นำโดย กวินธร ภู่ตระกูล ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท เร้ดแฮท (ประเทศไทย) จำกัด และ สุพรรณี อํานาจมงคล Senior Solutions Architect บริษัท เร้ดแฮท (ประเทศไทย) จำกัด ได้ร่วมกันสรุปเทคโนโลยีใหม่ที่ประกาศในงาน Red Hat Summit 2021 ถือทิศทางการใช้งานเทคโนโลยีคลาวด์ในได้ประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงการจับมือพันธมิตรในการนำเทคโนโลยีที่มีอยู่ใช้งานร่วมกัน
โดย OpenShift ยังเป็นหัวใจหลักของกลยุทธ์ไฮบริดคลาวด์แบบเปิด (Open Hybrid Cloud) ของ Red Hat และเป็นแพลตฟอร์มทรงประสิทธิภาพของคอนเทนเนอร์และแอปพลิเคชันแบบคลาวด์เนทีฟบนไฮบริดคลาวด์
ปี 2563 เป็นช่วงเวลาที่ OpenShift ทิ้งห่างเหนือคู่แข่งอย่างแท้จริง และ Red Hat เตรียมเพิ่มขอบเขตการใช้งานอย่างต่อเนื่อง นอกจาก Red Hat จะนำเอาเวิร์คฃกโหลดสำคัญๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI), แมชชีนเลิร์นนิ่ง (ML), จาวา (Java) ที่เป็นคอนเทนเนอร์เนทีฟ และ เวอร์ชวลไลเซชั่น (Virtualization) มาไว้บนแพลตฟอร์มดังกล่าว เรายังได้ขยายขอบเขตการใช้งาน OpenShift ไปใช้ในการขับเคลื่อนนวัตกรรมให้กับลูกค้าของเรา
ปัจจุบันบริษัทใน Fortune 500 นำ OpenShift ไปใช้งาน โดยลูกค้าเหล่านี้รันแอปพลิเคชันสำคัญระดับ Mission-Critical บนแพลตฟอร์ม OpenShift ด้วยความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของแพลตฟอร์มดังกล่าว
ทั้งนี้ ระบบรักษาความปลอดภัยของแพลตฟอร์มมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วควบคู่ไปกับการพัฒนาแพลตฟอร์ม ซึ่งทำให้ OpenShift อยู่ในระดับแนวหน้าของแพลตฟอร์มคอนเทนเนอร์ที่มีความปลอดภัยสูงสุด Red Hat ซื้อกิจการ StackRox เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และได้ผนวกรวมระบบรักษาความปลอดภัยชั้นนำระดับโลกนี้ไว้ใน OpenShift รวมไปถึงผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของ Red Hatขยายการให้บริการ Managed Cloud Service ของ Red Hat
แม้ว่าแพลตฟอร์ม OpenShift จะมีประสิทธิภาพอย่างมาก แต่มีลูกค้าจำนวนมากที่ต้องการ Managed Cloud Service ที่สามารถใช้งานได้สะดวกรวดเร็ว และที่จริงแล้ว โมเดลการใช้งานที่เติบโตเร็วที่สุดของ OpenShift ก็คือ บริการ Managed Cloud Service ที่เรานำเสนอนั่นเอง
เพื่อตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าวของลูกค้า Red Hat จึงได้เปิดตัวบริการ Red Hat OpenShift Service on AWS ซึ่งเปิดให้บริการแล้ว และเป็นครั้งแรกที่ Red Hat ผสานรวมบริการนี้กับผู้ให้บริการภายนอกเช่น AWS นับเป็นแนวทางใหม่ที่มีประสิทธิภาพให้ลูกค้าของ Red Hat ที่ใช้ AWS ที่จะสามารถใช้ OpenShift กับแอปพลิเคชันต่างๆ ของตนได้
บริการนี้เป็นการสร้าง OpenShift ในเวอร์ชั่นที่อยู่บนบริการของผู้ให้บริการเนทีฟคลาวด์บน Amazon Web Services, Azure และ IBM นอกเหนือไปจากบริการ Managed Cloud Service เวอร์ชั่นอื่นๆ ของ Red Hat ลูกค้าจะได้รับประโยชน์จากการรัน OpenShift ได้ในทุกที่ ทั้งยังลดภาระการทำงานของบุคลากรโดยอาศัยความเชี่ยวชาญของ Red Hat และผู้ให้บริการคลาวด์ในการรัน OpenShift ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าสามารถทุ่มเทความสนใจให้กับแอปพลิเคชันทางธุรกิจได้อย่างเต็มที่
นอกจากนี้ ลูกค้าของ Red Hat ยังบอกเราว่า พวกเขาต้องการใช้ประโยชน์จากบริการ Managed Cloud Service เพิ่มเติม นอกเหนือไปจากการรันแอปพลิเคชันบน OpenShift และแม้ว่าการใช้บริการ Managed Service จะช่วยลดภาระการทำงาน และก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมาก แต่ลูกค้าก็ยังต้องการที่จะผนวกรวมบริการดังกล่าวให้เข้ากันได้กับสถาปัตยกรรมไฮบริดคลาวด์ของตน
โดยบริการเหล่านี้จะต้องมีประสิทธิภาพทั้งสำหรับลูกค้าที่ใช้งานบนดาต้าเซ็นเตอร์ภายในองค์กร และลูกค้าที่ใช้งานบนพับลิคคลาวด์ ซึ่งนับเป็นองค์ประกอบหลักของสิ่งที่เรานำเสนอผ่านไฮบริดคลาวด์แบบเปิด และวันนี้เรามีความยินดีที่จะเปิดตัวบริการ Managed Cloud Service ที่ใช้งานได้หลากหลายเป็นครั้งแรก ที่ตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าวได้อย่างแท้จริง
บริการคลาวด์พื้นฐานรูปแบบใหม่ 3 บริการต่อไปนี้ จะช่วยให้ลูกค้าสามารถสร้างแอปพลิเคชันรุ่นใหม่ โดยมุ่งเน้นการกระจายข้อมูล การทำความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูล และการรองรับการเข้าถึงข้อมูลโดยใช้ API ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยลดความซับซ้อนในการดำเนินงาน ด้วยการถ่ายโอนการจัดการดูแลไปให้กับ Red Hat โดยที่ยังคงสามารถใช้งานร่วมกับสภาพแวดล้อม OpenShift ที่ติดตั้งไว้ภายในและภายนอกองค์กร นอกจากนี้ ยังสามารถพัฒนาต่อยอดเพิ่มเติมโดยอาศัยโซลูชั่นที่ดีที่สุดจากพาร์ทเนอร์ในระบบนิเวศน์ของ Red Hat
บริการแรก Red Hat OpenShift Streams for Apache Kafka มุ่งเน้นการกระจายข้อมูลและเหตุการณ์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันที่รันบน OpenShift โดยสามารถเชื่อมต่อแอปพลิเคชันบนระบบคลาวด์และดาต้าเซ็นเตอร์ได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการทำงานให้กับนักพัฒนา
โดยไม่จำเป็นต้องมีความเชี่ยวชาญในการรัน Apache Kafka มากนัก ตัวเชื่อมต่อภายในจะผนวกรวมข้อมูลจากสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่ลูกค้าใช้อย่างราบรื่น ไม่ว่าจะอยู่ ณ จุดใดก็ตามเพื่อสตรีมไปยังบริการ Managed Cloud Service ที่รันโดย
Red Hat ในโลเคชั่นที่คุณเลือก
บริการที่สองคือ Red Hat OpenShift Data Science ซึ่งจะช่วยให้คุณเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูล ทั้งนี้เวิร์กโหลดที่เติบโตเร็วที่สุดบนแพลตฟอร์ม OpenShift นั้นสัมพันธ์กับเรื่องของวิทยาศาสตร์ด้านข้อมูล (Data Science) เช่น AI, Machine Learning และ Analytics และ Red Hat OpenShift Data Science ช่วยให้การทำงานด้านนี้ง่ายขึ้นด้วยการมอบสภาพแวดล้อมและความเชี่ยวชาญในการสร้างเวิร์กโฟลว์ด้าน Data Science ให้กับนักพัฒนา
บริการที่สามคือบริการเกี่ยวกับแนวทางการสร้างแอปพลิเคชันที่จะเกิดขึ้นในอนาคตให้มีลักษณะกระจายมากขึ้น กล่าวคือ แอปพลิเคชันในปัจจุบันติดต่อสื่อสารกับบริการต่าง ๆ ผ่านทาง API มากขึ้น โดย API เหล่านี้ทำให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลที่ใช้ขับเคลื่อนการทำงานของแอปพลิเคชัน การควบคุมการเข้าถึง การทำความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ข้อมูลเหล่านั้น และการให้คำแนะนำการใช้งาน
ทั้งหมดนี้ถือว่ามีความสำคัญอย่างมากต่อการทำให้บริการต่าง ๆ ทำงานในรูปแบบของโซลูชั่น และวันนี้ Red Hat ได้ช่วยให้ลูกค้าบริหารจัดการ API ทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย ด้วยบริการ Red Hat OpenShift API Management
บริการคลาวด์พื้นฐานเหล่านี้นอกจากจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้กับลูกค้าแล้ว ยังช่วยเพิ่มโอกาสใหม่ๆ ให้กับพาร์ตเนอร์ในระบบนิเวศน์ของ Red Hat ในการนำเสนอไฮบริดคลาวด์แบบเปิดสู่ตลาด
บริการแอปพลิเคชันที่เปี่ยมประสิทธิภาพทั้งหมดที่กล่าวมานี้พร้อมใช้งานในรูปแบบออนดีมานด์และรูปแบบที่อยู่ภายใต้การจัดการอย่างครบวงจรบนระบบคลาวด์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของ OpenShift ให้สามารถรองรับแอปพลิเคชันสำคัญๆ ที่หลากหลาย และเมื่อบริการ Managed Service ย้ายไปสู่ไฮบริดคลาวด์แบบเปิดเพิ่มมากขึ้น ทั้งด้วยบริการจาก Red Hat เองและจาก
พาร์ทเนอร์ของเรา ก็จะช่วยเร่งให้ลูกค้าของเรามีขีดความสามารถในการสร้างแอปพลิเคชันรุ่นใหม่ ไม่ว่าลูกค้าจะรันแอปดังกล่าวไว้ที่ใดก็ตาม
Red Hat Edge + ความสามารถใหม่ในรูปแบบ Edge-Native
สิ่งสำคัญในปัจจุบันคือทำอย่างไรบริษัทต่างๆ จะทำให้ลูกค้ามีส่วนร่วมกับบริษัท สร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าของพวกเขาด้วยข้อมูล และปรับเปลี่ยนวิธีการทำธุรกิจได้อย่างแท้จริงซึ่งนั่นคือเรื่องของเอดจ์
เพื่อรองรับกรณีการใช้งานเอดจ์ที่หลากหลาย จำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่นคอนเทนเนอร์ และระบบติดตามการขนส่ง (Fleet Management) และด้วยเหตุนี้ Red Hat จึงได้เปิดตัว Red Hat Edge
Red Hat Edge เป็นส่วนต่อขยายภายใต้กลยุทธ์ไฮบริดคลาวด์แบบเปิด ครอบคลุมกลุ่มผลิตภัณฑ์ทั้งหมด โดยเริ่มต้นที่ Linux สืบเนื่องจากการเปิดตัวเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว Red Hat Enterprise Linux 8.4 ได้ขยายความสามารถที่รองรับระบบปฏิบัติการแบบไลท์เวทเอดจ์เนทีฟ
การใช้เอดจ์ช่วยผลักดันให้เกิดขยายขอบเขตความเป็นไปได้ในเรื่องต่างๆ มากขึ้นด้วยความช่วยเหลือของเทคโนโลยีในปัจจุบัน Red Hat และ IBM ร่วมมือกันนำเทคโนโลยีการนำทางที่ก้าวล้ำมาใช้กับงานทางทะเล ซึ่งเป็นที่ที่มีการค้าขายสำคัญทางเศรษฐกิจจำนวนมากทั่วโลกเกิดขึ้นทุกวัน
แม้ว่าบางพื้นที่อาจมีข้อจำกัดในเรื่องการเชื่อมต่อ เช่น ในทะเลหรืออวกาศ แต่ระบบ 5G จะช่วยขยายขอบเขตความเป็นไปได้บนโลกใบนี้ Red Hat นำเสนอเทคโนโลยี RHEL และ OpenShift แก่ผู้ให้บริการโทรคมนาคมเพื่อรองรับรูปแบบการใช้งาน 5G ที่หลากหลาย เราใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ด้านโทรคมนาคมที่ OpenStack มีอยู่ในการรันระบบเครือข่ายหลักต่างๆ และขยายการใช้งานของลูกค้าไปสู่ระบบ 5G
สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจมากที่สุดเกี่ยวกับ Edge ก็คือ ความหลากหลายของรูปแบบการใช้งาน ตั้งแต่ระบบปฏิบัติงานในรถยนต์ ไปจนถึงระบบโทรคมนาคม และระบบอัตโนมัติในโรงงานอุตสาหกรรม
โดย OpenShift และ RHEL รองรับระบบเหล่านี้ ไม่ว่าจะเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่าย 5G หรือไม่ก็ตาม แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ RHEL และ OpenShift ช่วยให้องค์กรมีแนวทางที่ทำงานร่วมกันได้ในการเขียนโปรแกรมเพื่อตอบโจทย์ความต้องการทั้งในปัจจุบันและอนาคต เป้าหมายของ Red Hat คือ การเปิดโอกาสให้ลูกค้าลงทุนในเทคโนโลยี OpenShift และ RHEL ในวันนี้ และสามารถขยายไปสู่การใช้งาน Edge ได้อย่างง่ายดายในอนาคตเมื่อลูกค้ามีความพร้อมมากขึ้น
เราได้พูดคุยเกี่ยวกับแนวทางของ Red Hat ในการพัฒนาไฮบริดคลาวด์แบบเปิดอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อรองรับรูปแบบการใช้งานของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลง ขยาย และเพิ่มความรวดเร็วอย่างต่อเนื่อง และเราได้พูดถึง Edge ซึ่งเป็นสมรรถนะใหม่ของไฮบริดคลาวด์แบบเปิด พร้อมด้วยรูปแบบการใช้งานใหม่ๆ ที่พัฒนาต่อยอดบนรากฐานของโอเพ่นซอร์สและ Linux รวมถึงนวัตกรรมที่ก้าวล้ำ
นวัตกรรมสำหรับการปรับขนาดและจัดการไฮบริดคลาวด์แบบอัตโนมัติ
ไฮบริดคลาวด์จำเป็นต้องอาศัยการจัดการดูแลแบบอัตโนมัติ ซึ่งสามารถบูรณาการแอปพลิเคชั่นทั้งในปัจจุบันและอนาคต รวมถึงสามารถปรับขนาดและปรับเปลี่ยนไปสู่ตำแหน่งที่ตั้งใหม่ๆ
Red Hat ลงทุนด้านนี้เพื่อผสานรวมระบบอัตโนมัติเข้ากับระบบวิเคราะห์ข้อมูลที่ก้าวล้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบูรณาการ Ansible Automation Platform, Red Hat Advanced Cluster Management และ Red Hat Insights เข้าด้วยกัน ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์สำคัญหลายด้าน เช่น การลงทุนของลูกค้าทั้งในปัจจุบันและอนาคต
ประโยชน์ข้อแรก คือ ระบบดังกล่าวจะจัดการไฮบริดคลาวด์ให้ทำงานอย่างสอดคล้องกันกับแพลตฟอร์มอื่น ไม่ว่าจะเป็นระบบที่ติดตั้งในองค์กร ระบบพับลิคคลาวด์ หรือบริการ Managed Cloud Service ของ Red Hat โดยลูกค้าจะยังคงสามารถควบคุมดูแลด้วยการปรับเปลี่ยนโมเดลการใช้งานตามความต้องการ
ข้อสอง ระบบดังกล่าวจะขยายขีดความสามารถด้านการทำงานแบบอัตโนมัติของ Red Hat Ansible Automation Platform ให้ครอบคลุมเวิร์กโฟลว์ใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแอปพลิเคชั่นที่ประกอบไปด้วยแอปพลิเคชั่นและบริการทั้งแบบที่ใช้คอนเทนเนอร์ (containerized) และแบบที่ไม่ได้ใช้คอนเทนเนอร์ (non-containerized)
ข้อสาม ทีมงานฝ่ายปฏิบัติการและฝ่ายรักษาความปลอดภัยจะสามารถใช้ระบบวิเคราะห์ข้อมูลและคำแนะนำที่ก้าวล้ำ ด้วยการขยายโปรแกรม Insights ของ Red Hat ไปใช้ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพิ่มขึ้น เราพยายามพัฒนาขีดความสามารถเพิ่มเติมให้กับทั้ง RHEL และ OpenShift เพื่อให้เข้าใจเกี่ยวกับการรันเวิร์กโหลดในกรณีการใช้งานใหม่ๆ ได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงให้คำแนะนำและความรู้เพิ่มเติมแก่ลูกค้า
และประโยชน์ท้ายสุดคือมีการผสานรวมความสามารถในการปรับขนาดที่ยืดหยุ่นของ Red Hat Advanced Cluster Management เพื่อจัดการอุปกรณ์ที่เอดจ์ โดยใช้การกำหนดค่าแบบอัตโนมัติและการรักษาความปลอดภัยของ Ansible ทั้งนี้ Ansible Automation Platform เป็นส่วนประกอบสำคัญในการสร้างระบบไฮบริดคลาวด์แบบเปิด โดยทำหน้าที่เชื่อมโยงการจัดการแอปพลิเคชั่นที่มีอยู่ในปัจจุบันเข้ากับแอปพลิเคชั่นใหม่ๆ ที่จะสร้างขึ้นในอนาคต
ช่วยให้ลูกค้าประสบความสำเร็จและสร้างนวัตกรรมได้ไม่ว่าอนาคตข้างหน้าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
Red Hat ยังคงมองว่าความยืดหยุ่นของไฮบริดคลาวด์แบบเปิดมีความสำคัญอย่างมากต่อลูกค้าของเรา ลูกค้าต้องการโอเพ่นซอร์สที่ดีที่สุด ซึ่งผสานรวมเข้ากับระบบคลาวด์และเฟรมเวิร์กที่เหมาะสม เพื่อรองรับแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ ที่จะช่วยขับเคลื่อนความสำเร็จของธุรกิจ เรามุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในด้านไฮบริดคลาวด์แบบเปิด และแน่นอนว่าท่ามกลางวิกฤติและความท้าทาย ย่อมจะมีโอกาสในการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่เหนือชั้น
ตลอดช่วงระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมา Red Hat ได้มอบรางวัลภายใต้โครงการ Red Hat Innovation Awards เพื่อยกย่ององค์กรที่นำเทคโนโลยีโอเพ่นซอร์สของ Red Hat ไปใช้ในลักษณะที่แปลกใหม่และสร้างสรรค์ และในปีนี้ มีองค์กรมากมายที่ได้รับการเสนอชื่อ ตั้งแต่สถานพยาบาลที่ต่อสู้กับโควิด-19 ไปจนถึงหน่วยงานภาครัฐที่ปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่ทดสอบชิ้นส่วนโดยใช้ระบบเสมือนจริง และการสร้างระบบบัญชีเงินเดือนสำหรับครู เรามีความภาคภูมิใจในความสำเร็จของลูกค้าหลายรายซึ่งได้รับรางวัล Red Hat Innovation Award ในปีนี้
อ่านเพิ่มเติม: How to บริหาร “กระแสเงินสด” ท่ามกลางวิกฤตไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine