บลูบิค เปิดเกมรุกปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่ เผยแผน 3 ปี เร่งปั้นพอร์ตโฟลิโอ ติดสปีดขยายธุรกิจและบริการสู่ตลาดโลกเพื่อการเติบโตแบบก้าวกระโดด มั่นใจโตไม่ต่ำกว่า 70% ต่อปี พร้อมเป็น Truly End-to-End Digital Transformation Partner
บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK บริษัทที่ปรึกษาผู้ให้บริการด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันแบบครบวงจร ปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่ ปักธงเติบโตปีละไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ด้วยแผนยุทธศาสตร์ 3 ปีที่เน้นเดินเกมเร็วขยายธุรกิจผ่าน บลูบิค พอร์ตโฟลิโอ ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มบริการที่ปรึกษาด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันและดิจิทัลแพลตฟอร์ม ที่มุ่งเน้นการเติบโตแบบ Organic Growth ด้วยการเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างรายได้จากกลุ่มบริการหลักที่มีอยู่
ควบคู่กับการสร้างการเติบโตแบบ Inorganic Growth ผ่านการควบรวมกิจการ หรือ M&A หรือ กิจการร่วมค้า หรือ JV และการจัดตั้งบริษัทย่อย เพื่อเจาะตลาดใหม่ให้สามารถนำเสนอบริการและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีทั้งในและต่างประเทศ
ภายใต้การปรับพอร์ตของบริษัทเพื่อเติมเต็มบริการเดิมด้านดิจิทัลทรานสฟอร์เมชันครบวงจรให้กับองค์กรธุรกิจอย่างแท้จริง หรือ Truly End-to-End Digital Transformation Partner ซึ่งมาจากขีดความสามารถของบริษัทที่เพิ่มขึ้นจากขีดความสามารถของบุคคลากรระดับคุณภาพที่ทำบริการมีความสามารถในขั้นวางกลยุทธ์และยังร่วมลงทุนไม่ว่าจะเป็นลักษณะการควบรวมกิจการหรือกิจกรรมการค้า โดยมีโมเดลที่ทางบริษัทไปร่วมกับ OR ในกลุ่ม ปตท. จัดตั้ง บริษัท ออร์บิท ดิจิทัล จำกัด เป็นต้น
พชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การปรับแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจครั้งใหญ่นี้ จะสามารถตอบโจทย์ลูกค้าองค์กรตั้งแต่ขนาดเล็กจนถึงใหญ่และนับจากนี้ทิศทางการเติบโตของบริษัทฯ จะมีความชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากขึ้นโดยเฉพาะในมิติของการสร้างรายได้และการเติบโตให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
"หลังจากนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์เกือบหนึ่งปี เรารู้ศักยภาพของตนเอง เราได้พิสูจน์ในหลายอย่างมีความพร้อมในการที่จะทรานฟอร์มบริษัทอีกรอบหนึ่งเพื่อขยายธุรกิจให้มากขึ้นในหลายๆ มิติ ทั้งในเรื่องการทรานส์ฟอร์มเมชั่นธุรกิจและเรื่องภายหลังจากการทรานส์ฟอร์มธุรกิจอีกด้วย"โดยภายใต้กลยุทธ์การเติบโต 3 ปีของบลูบิคจะประกอบไปด้วย 4 แผนงานหลักดังต่อไปนี้
แผนงานแรกคือการขยายธุรกิจบริการหลักให้ครบวงจรเป็น Truly End-to-End Services มากขึ้น เพื่อตอบโจทย์ทุกมิติความต้องการในการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันของลูกค้า ซึ่งบริษัทฯ จะมุ่งเน้นให้ความสำคัญเรื่องคุณภาพการให้บริการควบคู่กับการขยายธุรกิจรูปแบบใหม่โดยเฉพาะในกลุ่มบริการหรือเทรนด์เทคโนโลยีสำคัญหลังจากเปลี่ยนผ่านองค์กรสู่ระบบดิจิทัล (Post Digital Transformation) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างการเติบโตเชิงรายได้ โดยล่าสุดได้มีการขยายบริการที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบและความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security and Solution Implementation Services) เนื่องจากองค์กรธุรกิจเริ่มเห็นความสำคัญในเรื่องการลดความเสี่ยงจากภัยคุกคามไซเบอร์ที่ไม่น้อยไปกว่าการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน ฉะนั้นจึงจัดตั้งบริษัท บลูบิค ไททันส์ จำกัด ขึ้นเพื่อดำเนินธุรกิจดังกล่าว แผนงานที่สองคือการลงทุนในธุรกิจเกี่ยวกับดิจิทัลแพลตฟอร์มที่เป็นเทรนด์แห่งโลกอนาคต พัฒนาระบบแพลตฟอร์มดิจิทัลและบล็อกเชนโซลูชัน เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ เพื่อปูทางสู่การสร้างรายได้แบบประจำ (Recurring Income) และขยายฐานลูกค้าที่ครอบคลุมทั้งกลุ่มลูกค้าขนาดเล็กจนถึงขนาดใหญ่และได้อนุมัติจัดตั้ง บริษัท บลูบิค เน็กซัส จำกัด เพื่อรุกธุรกิจด้านพัฒนาระบบแพลตฟอร์มดิจิทัลและบล็อกเชนโซลูชัน (Digital Platform and Blockchain Solutions) อีกทั้งยังเตรียมรุกสร้างแพลฟอร์มบริการด้านดิจิทัลที่กลุ่มตลาดกลุ่มลูกค้าระดับองค์กรกลางและกลุ่ม SME เข้าถึงได้ "การขาดแคลนบุคลากรที่เชี่ยวชาญและยังเป็นความกังวลในหลายๆ ธุรกิจ การเติบโตธุรกิจเหล่านั้นเติบโตและเชี่ยวชาญในการทำธุรกิจจากบุคลากรของพวกเขาในเรื่องที่พวกเขาถนัด ซึ่งการจะทรานส์ฟอร์มธุรกิจสู่ดิจิทัลไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน เพราะต้องมีแนวคิด มีระบบ มีการจัดการ ซึ่งการทรานส์ฟอร์มเมชันไม่ใช่เรื่องที่เอาระบบไปวางแล้วจบ ซึ่งถ้าเราเข้าไปในฐานะที่ปรึกษาระบบจะเป็นเรื่องสุดท้ายที่เราทำ เรื่องแรกที่เราจะเข้าไปทำคือการทำความเข้าใจเรื่องจุดแข็งและจุดอ่อนของบริษัท เรื่องที่สองคือการทำแบ่งการทำงานของบุคลากรด้านไอที สู่เรื่องสุดท้ายคือการทรานส์ฟอร์มธุรกิจสู่ดิจิทัล" พชร กล่าวเสริม แผนงานที่สามคือการขยายธุรกิจต่างประเทศ เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญของบริษัทฯ เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจในตลาดต่างประเทศมีขนาดใหญ่และมีความต้องการในการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง สำหรับแผนการรุกตลาดต่างประเทศนี้ บริษัทฯ จะใช้จุดแข็งด้านศักยภาพของบุคลากรไอทีผนวกกับข้อได้เปรียบด้านต้นทุนการให้บริการที่สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก ซึ่งช่วงที่ผ่านมาได้ก่อตั้งบริษัทศูนย์เทคโนโลยีที่ประเทศอินเดีย เนื่องจากอินเดียเป็นประเทศที่มีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี คาดว่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้าจะมีบุคคลากรเข้ามาร่วมงานมากกว่า 100 คน โดยล่าสุดมีการขยายธุรกิจบริการด้านพัฒนาระบบดิจิทัลและให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยีไปยังตลาดยุโรป ผ่านการจัดตั้ง บริษัท บลูบิค (สหราชอาณาจักร) จำกัด ที่ประเทศสหราชอาณาจักร และกำลังอยู่ระหว่างการศึกษาจัดตั้งบริษัทย่อยในต่างประเทศเพิ่มเติม แผนงานที่สี่ สร้างการเติบโตผ่านการควบรวมกิจการ (M&A) และกิจการร่วมค้า (JV) มากยิ่งขึ้นโดยบริษัทฯ จะโฟกัสการลงทุนร่วมกับพันธมิตรที่มีความแข็งแกร่งและเชี่ยวชาญเฉพาะทางที่สามารถต่อยอดด้านบริการและธุรกิจ (Synergy) ซึ่งแผนการเติบโตนี้ยังเป็นกลไกสำคัญที่สนับสนุนแผนงานอื่นที่ได้กล่าวมาข้างต้นและเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจกับพันธมิตรในอนาคตเพื่อสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดดร่วมกัน ยกตัวอย่างเช่น การลงทุนจัดตั้ง บริษัท ออร์บิท ดิจิทัล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง บลูบิค และ บริษัท ปตท. นำ้มันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ เมื่อปีที่ผ่านมา "จะสังเกตได้ว่าสิ่งที่เราทำทั้งหมดไม่ใช่แค่การเพิ่มคนหรือการทำยอดขายให้เยอะขึ้นแต่การสร้างรากฐานเพราะเรารู้ว่าในอนาคตก็มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเรื่อยๆ ในฐานะที่เป็นบริษัทที่ปรึกษาซึ่งต้องนำเรื่องใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเทคโนโลยีหรือกลยุทธ์ในการทำธุรกิจ เราจะต้องทำตัวเองให้อยู่หน้าสุดเสมอ" พชร กล่าวและเสริมว่า“แผนกลยุทธ์ทางธุรกิจทั้ง 4 ด้าน ผนวกกับจุดแข็งของบริษัทฯ ที่ประกอบด้วย ความรู้ความเข้าใจทั้งในด้านธุรกิจและเทคโนโลยีขั้นสูง (Deep Tech) ที่ครอบคลุมตั้งแต่ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี (Technology Implementation) การพัฒนาซอฟต์แวร์และดิจิทัลแพลตฟอร์ม (Software & Digital Platform Development) รวมถึงข้อได้เปรียบจากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศที่ได้รับการยอมรับและมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีชาวต่างชาติจำนวนมาก ดังนั้น เราจึงเชื่อมั่นว่า บริษัทฯ จะสามารถเดินตามแผนเพื่อการเติบโตอย่างก้าวกระโดดและยั่งยืนได้อย่างแน่นอน”
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้คาดการณ์ว่าผลประกอบการปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ซึ่งขณะนี้ บริษัทฯ มียอดรอรับรู้รายได้จากแบ็คล็อก (Backlog) สะสมแล้ว 448 ล้านบาทโดยจะมียอดรับรู้รายได้ของปีนี้ถึง 226 ล้านบาท
สำหรับผลประกอบการ 6 เดือนแรกของปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้รวม 243.19 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 62 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY) ที่มีรายได้ 126.9 ล้านบาท หรือเติบโตร้อยละ 92 และมีกำไรสุทธิ 30 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 105 เปอร์เซ็นต์ โดยมีสัดส่วนการรับรู้รายได้แบบประจำ (Recurring Income) ราวร้อยละ 46 ของรายได้รวม ในขณะเดียวกันผลประกอบการรายได้ของปี 2564 อยู่ที่ 303 ล้านบาท
อ่านเพิ่มเติม: “อีสท์สปริง” แนะกลยุทธ์ลงทุนสู้ความผันผวน
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine