นูทานิคซ์ เผยผลสำรวจองค์กรไทยร้อยละ 98 มุ่งปรับองค์กรสู่ดิจิทัล แต่สำเร็จเพียงร้อย 18 แนะภาคธุรกิจให้ความสำคัญ 5 ด้าน เชื่อมโยงผ่านระบบไฮบริด คลาวด์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดต้นทุน ดูแลความปลอดภัยข้อมูล
ทวิพงศ์ อโนทัยสินทวี ผู้จัดการประจำประเทศไทย นูทานิคซ์ ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์บนระบบคลาวด์ กล่าวว่า ปัจจุบันองค์กรไทยยังคงให้ความสำคัญกับการปรับองค์กรสู่ดิจิทัล (ดิจิทัล ทรานส์ฟอร์ม) แต่ในแง่ของการลงทุนอาจจะชะลอตัวลง เมื่อเทียบกับช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากองค์กรไทยได้ดำเนินการเรื่องดิจิทัล ทรานส์ฟอร์มแล้วร้อยละ 98 แต่สิ่งที่น่าสนใจ คือองค์กรที่ประสบความสำเร็จมีเพียงแค่ร้อยละ 18 จากความท้าทายด้านเทคโนโลยี ข้อมูล และความปลอดภัย รวมถึงกฎ ระเบียบใหม่ ๆ ที่ออกมา เช่น พรบ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) สำหรับปัจจัยสำคัญในการทำดิจิทัล ทรานส์ฟอร์ม มี 5 ด้านที่สำคัญ ได้แก่ การบริการลูกค้า การเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขัน การบริหารจัดการข้อมูล การสร้างนวัตกรรมใหม่ และการสร้างคุณค่าให้องค์กร ซึ่งช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รูปแบบการทำงานในแต่ละองค์กรเปลี่ยนแปลงไป หลายองค์กรยังให้ทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) บางองค์กรใช้รูปแบบผสม ดังนั้นจึงต้องมีเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุน เพื่อตอบโจทย์การทำงานขององค์กรที่เปลี่ยนแปลงไป โดยร้อยละ 83 ขององค์กรเลือกใช้ไฮบริด มัลติ-คลาวด์ เพื่อรองรับรูปแบบการทำงานที่หลากหลาย อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ระบบไฮบริด มัลติ-คลาวด์ ต้องเผชิญกับความท้าทาย 3 ด้านหลัก ได้แก่ เรื่องความปลอดภัย การเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างแพลตฟอร์ม และ ต้นทุนในการบริหารจัดการข้ามแพลตฟอร์ม ซึ่งนูทานิคซ์ ในฐานะผู้ให้บริการแพลตฟอร์มคลาวด์ได้แก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยการนำระบบ AI และระบบอัตโนมัติมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเชื่อมโยงแพลตฟอร์มที่มีความหลากหลาย ซึ่งเป็นความต้องการของภาคธุรกิจในปัจจุบันที่ต้องการใช้งานคลาวด์หลากหลายรูปแบบ และสามารถเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกันได้ “ปัจจุบัน มีลูกค้ามากกว่าร้อยละ 50 ที่ใช้อินฟราสตรัคเจอร์ คลาวด์ มากกว่า 1 แพลตฟอร์ม และมีแนวโน้มการใช้งานเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งตัวเร่งเกิดจากดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่น ที่ขยายเข้าสู่ทุกอุตสาหกรรม ทั้งการเงิน ค้าปลีก โรงพยาบาล และแม้แต่หน่วยงานของรัฐ ที่ใช้คลาวด์เพื่อเชื่อมโยงลูกค้ากับการบริการมากขึ้น” ทวิพงศ์ กล่าวว่า ผลสำรวจของ IDC พบว่าร้อยละ 86 ขององค์กรเชื่อว่า AI จะมีส่วนสำคัญในการลงทุนระบบคลาวด์ในช่วง 2 ปีข้างหน้า เพื่อช่วยในการบริหารจัดการความปลอดภัยไซเบอร์ รวมถึงการวางแผน ติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผล ซึ่งนูทานิคซ์มีประสบการณ์ในการช่วยเหลือลูกค้าในระดับโลกติดตั้งซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการบริหารจัดการแพลตฟอร์มคลาวด์ เช่น ห้างค้าปลีกชั้นนำ ใช้ Nutanix Cloud Automation ในการติดตั้ง IT Services และ Applications สำหรับสโตร์ เพื่อลดความผิดพลาดและเวลาที่ใช้ในการทำงานของระบบไอที หรือ หน่วยงานภาครัฐ ใช้ Nutanix Cloud Automation เพื่อให้บริการโครงสร้างพื้นฐานใน Private Cloud และ Public Cloud “นูทานิคซ์ มองเทรนด์ของโลกอนาคต ทิศทางของเทคโนโลยีจะอยู่ในรูปแบบ ไฮบริด มัลติ-คลาวด์ เพื่อการใช้งานที่หลากหลาย เพราะการใช้งานคลาวด์แต่ละประเภทมีความแตกต่างกัน ดังนั้น องค์กรจะตัดสินใจใช้งานตามความเหมาะสม คุ้มค่า และที่สำคัญต้องปลอดภัย จึงนำเทคโนโลยี AI Automation มาช่วยให้การบริหารจัดการเชื่อมโยงข้อมูลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น” ทั้งนี้ นูทานิคซ์ จะเน้นบริการ 3 ด้านหลัก ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานไฮบริดคลาวด์ และการบริหารจัดการมัลติคลาวด์ บริการด้านดาต้าเบส และ End User Computing (EUC) ซึ่งเป็นบริการที่สอดรับกับเทรนด์เทคโนโลยีคลาวด์ที่กำลังพัฒนาไปทั่วโลก อ่านเพิ่มเติม: วันเดอร์แมน ธอมสัน เผยผลสำรวจเจาะลึกพฤติกรรมการช้อปล่าสุด “Future Pulse: Future Shopper Study 2022″ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine