"คอปเปอร์ ไวร์ด" ทุ่ม15 ล้าน เปิดตัว dotlife Flagship Store โฉมใหม่ด้วยคอนเซปต์พิพิธภัณฑ์ พร้อมสินค้าเทคชั้นนำกว่า 200 เเบรนด์ ชี้ปีหน้า Smart Home เเละของเล่นไฮเทคมาเเรง ตั้งเป้าปี 2020 ขยายให้ได้ 30 สาขาดันยอดขายเเตะพันล้าน
ปรเมศร์ เหรียญเจริญสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอปเปอร์ไวร์ด จำกัด ตัวแทนจำหน่ายสินค้าแก็ดเจ็ท ภายใต้ชื่อ dotlife (ดอทไลฟ์) กล่าวว่า dotlife เป็นร้านที่รวมสินค้าเทคโลยีและไลฟ์สไตล์ ที่ดำเนินธุรกิจมากว่า 10 ปีจุดเด่นของร้านไม่เพียงแค่มีสินค้าใหม่ตามกระแสเท่านั้น แต่เน้นให้ความสำคัญกับประโยชน์ของสินค้าที่จะมาช่วยทำให้คุณภาพชีวิตของลูกค้าดีขึ้นกว่าเดิม โดยทุกวันนี้สมาร์ทโฟนไม่ได้เข้ามาเปลี่ยนเเปลงเเค่เรื่องการสื่อสารเท่านั้นเเต่ยังเปลี่ยนเเปลงทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของเรา
"การพิจารณาเลือกสินค้าเข้ามาภายในร้านนั้น ราคาสินค้าส่วนใหญ่จะต้องเป็นราคามาตรฐานที่จำหน่ายทั่วไปในท้องตลาด และสินค้าบางอย่างที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ ก็ต้องมีราคาเท่ากับในต่างประเทศด้วย ซึ่งเป็นประโยชน์สูงสุดของลูกค้าที่จะได้รับสินค้าคุณภาพดี ทันสมัย โดยกลุ่มลูกค้าหลักของเรา คือคนทุกเพศทุกวัย ที่ชื่นชอบสินค้าเทคโนโลยี"
สำหรับร้าน dotlife Flagship Store สาขาที่ใหญ่ที่สุด ตั้งบนชั้น 4 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิร์ด ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งนี้ ถือว่าเป็นสาขาต้นเเบบที่ต้องการจะทำให้เป็นแหล่งนัดพบของดิจิทัลไลฟ์แห่งแรกประเทศไทย ใช้งบประมาณลงทุน 15 ล้านบาท ในพื้นที่กว่า 310 ตร.ม. มีสินค้ากว่า 200 แบรนด์ พร้อมดีไซน์โฉมใหม่หรูหรากว่าเดิม ซึ่งได้แรงบันดาลใจในการออกแบบการจัดวางสินค้ามาจากรูปแบบของพิพิธภัณฑ์ (Museum) ทำให้ลูกค้าสามารถเดินชม และสัมผัสประสบการณ์การใช้งานจริงของสินค้าด้วยตัวเอง
“เป็นการสร้างพื้นที่ให้ลูกค้าได้เรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีต่างๆ ให้พวกเขาสบายใจเวลาอยู่ในร้าน ถ้ายังไม่อยากซื้อตอนนี้ก็ให้มาลองเล่นมาลองดูก่อนได้”
โดย dotlife Flagship Store แบ่งเป็น 4 โซนดังนี้
โซน Smart Home มีการปรับพื้นที่ให้ใหญ่ขึ้น มี iPad สำหรับให้ลูกค้าได้ทดลองสั่งงานอุปกรณ์ Home ต่างๆ และเรียนรู้การใช้งานได้ด้วยตัวเองก่อนตัดสินใจซื้อ มีสินค้าไฮไลต์เด็ดอย่าง iRobot Roomba 960 หุ่นยนต์ดูดฝุ่นอัตโนมัติ, Netatmo Welcome ผู้ช่วยอัจฉริยะ, NIU NIS สมาร์ทสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า เป็นต้น
โซน Sport Health & Wellness เอาใจคนรักสุขภาพเเละเทคโนโลยี มีมุม Smart Watch จัดเป็น counter กระจก เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกดูสินค้าได้สะดวกยิ่งขึ้น มีสินค้าไฮไลต์เด็ดอย่าง Garmin Instinct, Jaybird X4 หูฟังออกกำลังกายไร้สาย, Fitbit Charge 3 และ Withings Sleep Sensor เป็นต้น
โซน Photo& Video ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรักการถ่ายภาพ มีสินค้าไฮไลต์เด็ดอย่าง Shiftcam 2.0, GoPro Hero 7 black, Fuji Instax SQ20, Insta 360 one X เเละโดรนรุ่นต่างๆ เป็นต้น
โซน Connected Toys ของเล่นไฮเทค เครื่องเกม PS4, อุปกรณ์ VR , เคสดีไซน์สวยๆ ไปจนถึงอุปกรณ์เสริมอื่นๆ เเละมุม Audio เอาใจผู้รักเสียงเพลงเเละความบันเทิง ซึ่งมีสินค้าที่น่าสนใจอย่าง KEF LSX ลำโพงเเบรนด์ดังจากอังกฤษ, Sennheiser Momentum True Wireless, Master & Dynamic MW07, JBL Link ลำโพงอัจฉริยะ เป็นต้น
ซีอีโอเเห่งคอปเปอร์ ไวร์ด ให้ความเห็นต่อการเปลี่ยนเเปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคของไทยเกี่ยวกับสินค้าเทคโนโลยีว่า ปัจจุบันคนไทยพิถีพิถันในการเลือกสินค้าที่เหมาะกับตัวเองมากขึ้น โดยให้ความสำคัญกับเรื่องคุณภาพของสินค้า รวมถึงการบริการทั้งก่อนและหลังการขาย มากกว่าการเปรียบเทียบเพียงแค่ราคาสินค้าอย่างเดียว
อย่างไรก็ตามราคา และโปรโมชั่น ก็ยังมีส่วนในการตัดสินใจของลูกค้า นอกจากนี้ความน่าเชื่อถือของร้านค้าก็นับเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากปัจจุบันผู้ขายสินค้ามีจำนวนมากขึ้น และการเข้าถึงของลูกค้าก็สามารถทำได้ง่ายกว่าในอดีต ทำให้ความน่าเชื่อถือของร้านค้ากลายเป็นข้อได้เปรียบในการให้ลูกค้าได้ตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าใดสินค้าหนึ่ง
เมื่อถามถึงหมวดสินค้าที่ขายดีที่สุดในร้าน dotlife นั้น ปรเมศร์ตอบว่าเป็นกลุ่มสินค้า mobile photography ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะคนให้ความสำคัญกับกล้องมือถือมากขึ้น รวมไปถึงกล้องขนาดเล็กที่มีคุณภาพสูงเเละโดรนถ่ายภาพ ขณะเดียวกันกลุ่มสินค้าที่คาดว่าจะมาเเรงในปี 2019 คือกลุ่มสินค้า Smart Home เเละของเล่นไฮเทค Connected toy
“ยอดขายของร้าน dotlife ในปีนี้คาดว่าจะมีประมาณ 800 ล้านบาท มีการเติบโตประมาณ 20% และตั้งเป้าว่าปี 2020 จะสามารถขยายสาขาได้ 30 สาขาทั่วประเทศ จากที่มีอยู่ 19 สาขาในปีนี้ ซึ่งคาดว่าตอนนั้นจะทำยอดขายได้เกิน 1 พันล้านบาทแน่นอน”
โดยกลยุทธ์การตลาดในปี 2019 ของ dotlife ยังเน้นการใช้การสื่อสารออนไลน์เป็นช่องทางหลักทั้งการให้ข้อมูลสินค้าข่าวสารสิทธิประโยชน์หรือโปรโมชั่นต่างๆเพราะเป็นช่องทางที่สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ตรงและมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยการให้ความสำคัญกับธุรกิจออนไลน์เป็นการเพิ่มความสะดวกในการซื้อสินค้าให้กับลูกค้าได้ตลอดเวลาและทุกสถานที่ เเบบไม่มีข้อจำกัดสอดคล้องไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในปัจจุบันที่นิยมช้อปปิ้งทางออนไลน์มากขึ้น
"จากจุดแข็งนี้ ทำให้การขายออนไลน์ของเรามีประสิทธิภาพมากกว่าคู่แข่งทั่วไปโดยไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการตัดราคาขายแข่งกับหน้าร้าน แต่มุ่งเน้นการเชื่อมต่อระหว่างโลกออนไลน์กับออฟไลน์เข้าด้วยกัน เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด”
ขณะที่การเติบโตของตลาดในต่างจังหวัดนั้น ปรเมศร์ ระบุว่ามีการเติบโตต่อเนื่องด้วยกำลังซื้อที่มากขึ้น ซึ่งต้นปีหน้าจะมีการเปิดร้านใหม่ที่จังหวัดอุดรธานี โดยจะมีการเน้นขายออนไลน์ร่วมด้วยเพื่อให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าส่งตรงถึงบ้านได้โดยไม่มีอุปสรรคด้านระยะทาง