เอบีม คอนซัลติ้ง เผยแนวโน้มการใช้งานข้อมูลส่วนบุคคล แนะองค์กรปรับตัว รองรับ PDPA ซึ่งเห็นได้ชัดหลังการระบาดของโควิด-19 ได้สร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวง ไม่ว่าจะอุตสาหกรรมใดๆ และได้สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทำให้เทคโนโลยีได้กลายมาเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกสิ่งและทุกอย่าง ปริมาณข้อมูลมหาศาลจากการใช้งานอินเทอร์เน็ตกำลังถูกสร้างและจัดเก็บ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลจากการช้อปปิ้งออนไลน์ การใช้จ่ายเงินผ่านกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ และเวลาที่ใช้ในการท่องอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียที่เพิ่มมากขึ้น
ทุกวันนี้ องค์กรต่างๆ ล้วนเก็บข้อมูลส่วนบุคคลจำนวนมากเพื่อใช้งานและเพื่อส่งต่อให้บุคคลที่สามด้วยเหตุผลที่หลากหลาย คาดการณ์ว่าแนวโน้มนี้จะเติบโตขึ้นอย่างมาก เนื่องจากการจัดการและการวิเคราะห์ข้อมูลได้กลายมาเป็นส่วนสำคัญที่มีเทคโนโลยีเข้ามาขับเคลื่อนสิ่งเหล่านี้ นำมาซึ่งคำถามที่ว่า “องค์กรต่าง ๆ จะรับมือกับข้อมูลส่วนบุคคลที่จัดเก็บมาใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลนี้อย่างไรให้ถูกต้องตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPA” หรือ คำถามที่ว่า “ลูกค้าได้ตระหนักรู้อย่างเต็มที่แล้วใช่หรือไม่ ว่าองค์กรได้ขออนุญาตเก็บข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อนำไปใช้สำหรับทำอะไร” รวมทั้งคำถามที่ว่า "สิทธิส่วนบุคคลของแต่ละคนอะไรบ้างที่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย" บริษัท เอบีม คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด แนะองค์กรควรปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลเชิงรุก ด้วยการปรับลักษณะของการจัดการ การปรับใช้เทคโนโลยี และการปฏิรูปกฎหมายที่จำเป็น เพื่อให้มั่นใจว่าได้ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลแล้ว Ichiro Hara กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอบีม คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทที่ปรึกษาระดับโลก ซึ่งเป็นผู้ให้บริการที่มีความเชี่ยวชาญด้านการปรับเปลี่ยนองค์กรธุรกิจในรูปแบบดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชัน ในเครือบริษัท เอบีม คอนซัลติ้ง จำกัด ประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า จากการที่เกิด “วิถีใหม่” ทำให้มีปริมาณการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลจำนวนมากและจะมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
เอบีม แนะใช้เครื่องมืออัตโนมัติในการทำให้การบริหารจัดการคำขอและแพลตฟอร์มการคำขอสิทธิ์ของเจ้าของข้อมูล ทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อ แบ่งออกได้เป็น 2 เฟส คือ
เฟส 1: การเตรียมความพร้อมพื้นฐานสำหรับ PDPA มี 4 การเตรียมความพร้อมพื้นฐานสำหรับ PDPA ที่ให้ความสำคัญกับ บุคลากร กระบวนการ และ เทคโนโลยี คือ การจัดการ การกำกับดูแลข้อมูล (Data Governance) กระบวนการธุรกิจ (Business Process) การเปลี่ยนผ่านแอปพลิเคชัน (Application Transformation) และการบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลง (Change Management) สิ่งเหล่านี้ จะช่วยให้องค์กรสามารถปฏิบัติตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลได้ และสามารถที่จะบริหารจัดการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
เฟส 2: การลงมือทำ มีข้อแนะนำสำหรับการทำระบบการจัดเก็บและบริหารจัดการข้อมูลให้สำเร็จโดยเร็วโดยที่ยังสามารถทำให้สอดคล้องตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดยที่ธุรกิจก็ไม่ต้องหยุดชะงัก นั่นคือการจัดลำดับความสำคัญของระบบต่าง ๆ ได้แก่ Data Subject Journey, Consent Management Platform, Data Subject Rights Execution, Data Privacy Impact Assessment (DPIA) & Privacy by Design, Business Change Management, Business Partner Due-Diligence,
Breach Management และ Storage Limitation แนะองค์กรควรเริ่มจากกระบวนการทำธุรกิจ โครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี สภาพแวดล้อม และการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลในปัจจุบันที่มีการใช้ข้ามองค์กรสำหรับการวินิจฉัยประเด็นที่เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม กระบวนการทั้งหมดที่เกี่ยวกับการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงกระบวนการในการคุ้มครอง ข้อมูลส่วนบุคคลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งหมดจะต้องเปิดเผย โปร่งใส ที่สำคัญที่สุด องค์กรต่าง ๆ ควรทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ ทั้งในเรื่องเทคโนโลยีและโซลูชันสำหรับ PDPA ใน แต่ละอุตสาหกรรมที่มีโซลูชันครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อให้องค์กรสามารถติดตั้งและดำเนินการระบบได้อย่างรวดเร็วและประสบความสำเร็จในการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
อ่านเพิ่มเติม: โอกาสจากพฤติกรรมผู้บริโภคทั่วโลกของ ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่ม
ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine


