คนไทยมีสัดส่วนการถือทรัพย์สินดิจิทัลต่อจำนวนประชากรผู้ใช้อินเทอร์เน็ตสูงสุดในโลกที่ร้อยละ 20.1 ทรูมันนี่ จับมือเมอร์เคิลฯ เปิดพอร์ตคริปโตผ่านวอลเล็ท เข้าถึงฐานลูกค้ากว่า 20 ล้านราย คาดมูลค่าเงินลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลปีแรก 1 หมื่นล้านบาท
ธัญญพงศ์ ธรรมาวรานุคุปต์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด ผู้ให้บริการ ทรูมันนี่ วอลเล็ท กล่าวว่า จากรายงาน Digital 2022 Global Overview โดย We Are Social และ Hootsuite เมื่อเดือนมกราคม 2565 พบว่า คนไทยมีสัดส่วนการถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลต่อจำนวนประชากรผู้ใช้อินเตอร์เน็ต ที่มีอายุ 16 - 64 ปี สูงสุดเป็นอันดับหนึ่งของโลกที่ร้อยละ 20.1 ขณะที่ผู้ใช้บริการด้านการลงทุนผ่านวอลเล็ทในปัจจุบันมีจำนวน 2 ล้านคน จากฐานที่มีอยู่ในปัจจุบัน 24 ล้านคน แสดงให้เห็นถึงความสนใจด้านการลงทุนของผู้บริโภค ซึ่งทรูมันนี่ จึงได้จับมือกับเมอร์เคิล แคปปิตอล ศึกษาความต้องการของผู้ที่สนใจลงทุนด้านสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อออกแบบแพลตฟอร์มที่ช่วยขยายโอกาสให้ผู้ที่สนใจทั่วไปสามารถเปิดพอร์ตลงทุนคริปโตได้ง่ายๆ ใน 5 นาที โดยใช้เงินลงทุนเริ่มต้นแค่ 3,000 บาท ก็สามารถลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลผ่านแอปพลิเคชันทรูมันนี่ วอลเล็ทได้ คาดว่าจะมีการลงทุนผ่านพอร์ตคริปโต 1 แสนราย คิดเป็นเม็ดเงินลงทุน 1 หมื่นล้านบาท “ก่อนหน้านี้ ผู้ที่สนใจและมีศักยภาพในการลงทุนคริปโตและเทรดเองได้มักเป็นกลุ่มคนที่มีเงินออมเยอะและมีรายได้สูง เนื่องจากต้องมีเวลาในการศึกษาและติดตามการเปลี่ยนแปลงราคาของสินทรัพย์ได้ตลอด ทุกคนอยากลงทุนคริปโต ที่ผลตอบแทนสูง ขณะที่ความเสี่ยงสูงด้วย เราเห็นว่าเมอร์เคิลฯ นำเสนอโซลูชั่นที่แตกต่างจากตลาด ทุกคนอยากลงทุน แต่เสี่ยงมาก จะทำอย่างไร ต้องมีคนดูแล ความปลอดภัย ซึ่งเมอร์เคิลตอบโจทย์ได้ และตอบโจทย์ทรูมันที่ที่มีพันธกิจในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินดิจิทัลที่ทำให้ชีวิตคนดีขึ้น” ธัญญพงศ์กล่าวแนวโน้มลงทุนคริปโตยังเติบโต
กานต์นิธิ ทองธนากุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุน บริษัท เมอร์เคิล แคปปิตอล จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลทั่วโลกยังคงเติบโต แม้มูลค่าสินทรัพย์บางประเภทจะลดลง เช่น บิทคอยน์ ที่ลดลงร้อยละ 40 ในช่วงที่ผ่านมา แต่ก็มีโอกาสปรับตัวขึ้นไปอยู่ในระดับสูงได้อีก ประกอบกับระบบเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ได้รับผลกระทบหลายด้าน เช่น ภาวะสงครามรัสเซีย-ยูเครน เงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้คนต้องการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ และสินทรัพย์ดิจิทัลได้รับความสนใจจากนักลงทุน ซึ่งในประเทศไทยการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเรื่องถูกกฎหมาย ทำให้มีผู้บริการเกิดขึ้นมากมาย และมีการแข่งขันในตลาด ขณะที่ เมอร์เคิลฯ ก่อตั้งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยเป็นผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัลรายแรกและรายเดียวในประเทศไทยที่ได้รับในอนุญาตจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ทั้งนี้ เมอร์เคิลฯ เป็นบริษัทลูกของของคริปโต มายด์ กรุ๊ป เป็นผู้บริหารสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีมูลค่า 1,500 ล้านบาท อัครเดช เดี่ยวพานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมอร์เคิล แคปปิตอล จำกัด กล่าว่า ได้ก่อตั้งคริปโต มายด์ กรุ๊ป เมื่อ 4 ปี ที่ผ่านมา โดยร่วมกับกลุ่มเพื่อนที่เป็นนักลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลมาก่อน และมีเป้าหมายเดียวกัน คือทำอย่างไรให้ลงทุนแล้วได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น จึงเป็นแรงบันดาลใจให้มารวมตัวกันหาโซลูชั่นส์ที่ดีที่สุดในการลงทุน รวมถึงการวิเคราะห์แนวโน้มของตลาด และเห็นโอกาสในการขยายบริการสู่ประชาชนทั่วไป “โลกของการลงทุนคริปโตไม่หลับไม่นอน ปี 2007 มีเงินดิจิทัลอยู่หลักพันเหรียญ แต่ปัจจุบันมีจำนวนมาก คำถามที่ได้รับมาตลอด คือซื้อเหรียญอะไรดี ลงทุนเหรียญอะไรดี ถ้าจะลงทุนระยะยาวต้องทำอย่างไร คำตอบเราไม่สามารถให้ได้ เพราะโลกเปลี่ยนเร็ว และตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลมีความซับซ้อน แต่เราสามารถช่วยจัดการให้ได้ ให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น และปลอดภัย” อัครเดชกล่าว ทั้งนี้ เมอร์เคิลฯ ช่วยบริหารพอร์ตของลูกค้า คัดเลือกเหรียญดิจิทัลที่ถูกต้อง (ไม่ใช่ Crypto Scam) คัดเลือกเหรียญที่เป็นบลูชิพของตลาด ถ้าแนวโน้มไม่ดีสามารถคัดออกได้ โดยบริษัทมีกลยุทธ์การลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล 4 รูปแบบ ได้แก่ 1. M-Bitcoin Alpha การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล Bitcoin 2. M-Large Cap เน้นลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งสกุลเงินและ Smart Contract Platform ที่เป็นผู้นำของอุตสาหกรรม 3. M-Metaverse ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลที่เกี่ยวข้องกับ Metaverse Ecosystem รวมไปถึง Platform ที่เกี่ยวข้องกับ Games, NFT และ Infrastructure ของ Metaverse ชั้นนำของอุตสาหกรรมและมีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว 4. M-Blockchain ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลประเภท Blockchain Infrastructure และ Smart Contract Platform เช่น ETH, SOL, LUNA โดยแต่ละกอง ใช้เงินลงทุนขั้นต่ำ 3,000 บาท “เมอร์เคิล เห็นว่ายังมีคนอีกจำนวนมากที่มีความสนใจเกี่ยวกับการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล เพียงแต่ยังไม่ได้เริ่มเนื่องจากไม่คุ้นเคยและคิดว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำความเข้าใจ ทำให้ไม่รู้ว่าต้องเริ่มต้นอย่างไร หรือคิดว่าไม่มีเวลาดูตลาดเพราะมูลค่าคริปโตนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นการจับมือกันครั้งนี้ถือเป็นการขยายทางเลือกในการลงทุน พร้อมตอบสนองความต้องการของนักลงทุนรายย่อยเหล่านี้ให้มีโอกาสได้เข้าถึงการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลในรูปแบบที่ไม่ซับซ้อนและปลอดภัยโดยได้รับการดูแลจากทีมงานของเรา” อัครเดช กล่าวทิ้งท้าย อ่านเพิ่มเติม: ออปโป้ เปิดตัว “OPPO Find X5 Pro 5G” บุกตลาดสมาร์ตโฟนไฮเอนด์ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine