WM Group ต่อยอดนักธุรกิจรุ่นใหม่ด้วยหลักสูตร FINE - Forbes Thailand

WM Group ต่อยอดนักธุรกิจรุ่นใหม่ด้วยหลักสูตร FINE

FORBES THAILAND / ADMIN
06 Jul 2020 | 05:24 PM
READ 1995

WM Group เผยจากหลักการที่เชื่อมั่นใน “Key to success is lifelong learning กุญแจสู่ความสำเร็จคือการเรียนรู้ตลอดชีวิต” สู่การพัฒนาหลักสูตรนักบริหารสำหรับผู้ต้องการเริ่มต้นหรือต่อยอดธุรกิจสมัยใหม่ที่เรียกว่า FINE

เพราะธุรกิจที่จะประสบความสำเร็จในระยะยาว คือธุรกิจที่พร้อมจะเปลี่ยน และสามารถเปลี่ยนได้ก่อนที่จะถูกบังคับให้เปลี่ยน WM Group บริษัทด้านหลักสูตรการสอนสมัยใหม่ ท้าทายตนเองในการสร้างหลักสูตรใหม่ๆ เพื่อสร้างผู้ประกอบการนวัตกรรมแห่งอนาคต “FINE เป็นหลักสูตรของนักธุรกิจรุ่นใหม่โดยนักธุรกิจรุ่นใหม่ เพื่อนักธุรกิจรุ่นใหม่เราเน้น Innovation ซึ่งจะเกิดขึ้นได้จาก Innovator สิ่งที่ FINE พยายามสร้างคือนักธุรกิจที่มีความคิดแบบ Innovator” ปณิธิ อินทราวุธ กรรมการผู้จัดการ กล่าวถึงการเริ่มต้นธุรกิจร่วมกับ วศิน วินิชบุตร และธนดล จันทรลาวัณย์ ทั้งนี้ หลักสูตร FINE เน้นให้ความสำคัญกับการสร้างนวัตกร (Innovator) ที่ผสานระหว่างความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) เทคโนโลยี (Technology) และทักษะทางธุรกิจ (Business Skills) ผ่านการเรียนรู้แบบ Collaborative Learning เน้นกิจกรรมการทำโครงการและเวิร์กช็อป สร้างและพัฒนาธุรกิจให้เป็นสตาร์ทอัพที่แข็งแกร่ง ยั่งยืนและก้าวทันโลกยุคใหม่  
(จากซ้าย) วศิน วินิชบุตร, ธนดล จันทรลาวัณย์ และปณิธิ อินทราวุธ ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทและหลักสูตร FINE
สำหรับการพัฒนาหลักสูตร มีจุดเริ่มต้นจากคำถามว่า ทำไมธุรกิจในเมืองไทยโดยทั่วไปจึงประสบความสำเร็จได้ช้ากว่าธุรกิจในต่างประเทศ รวมทั้งสัดส่วนของผู้ที่ประสบความสำเร็จก็น้อยกว่า ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากปัญหาการเรียนการสอนของไทยที่ไม่ได้ออกแบบให้ผู้เรียนพัฒนาศักยภาพในการแก้ปัญหา ส่งผลให้ผู้เรียนไม่สามารถคิดค้นและเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองเพราะการสอนที่เน้นท่องจำและเชื่อฟังบทเรียนจากครูหรือตำรา ขณะที่กลุ่มผู้เรียนส่วนใหญ่มักเป็นผู้ประกอบการเจเนอเรชันที่ 2 ซึ่งผู้อบรมจำนวนไม่น้อยมีธุรกิจที่บ้านหรือดำเนินธุรกิจของครอบครัวอยู่แล้ว แต่ต้องการเปลี่ยนแปลงให้ทันสมัยขึ้น และตอบโจทย์โลกสมัยใหม่ได้ดีขึ้น รวมทั้งกลุ่มสตาร์ทอัพที่ดำเนินธุรกิจสอดคล้องกับกระแสคนรุ่นใหม่ที่ต้องการทำธุรกิจของตัวเอง โดยเฉพาะ 4-5 ปีที่ผ่านมา ผู้เข้าอบรมในหลักสูตร FINE มีอายุเฉลี่ยน้อยลงเรื่อยๆ จาก 40-35 ปี เป็น 30-29 ปี ในปัจจุบัน ซึ่งสอดคล้องกับเทรนด์เถ้าแก่น้อยที่อายุน้อยลง รักอิสระและรวยเร็วกว่า “เจน 2 ส่วนใหญ่สมัยนี้ ไม่ได้ทำธุรกิจที่บ้านหรือธุรกิจที่สืบทอดเพียงอย่างเดียวพวกเขาทำธุรกิจใหม่ๆ อีกหลายธุรกิจธุรกิจหลักเขาปรับให้ดีกว่าเดิม ธุรกิจใหม่เขาทำให้เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะเรา” ปณิธิย้ำถึงการให้ความสำคัญกับการผลิตไอเดียธุรกิจใหม่ และวิธีการคิดที่แตกต่างผ่านกิจกรรมคอร์สต่างๆ ในหลักสูตร ซึ่งสามารถผลิตนักธุรกิจรุ่นใหม่ไปแล้ว 9 รุ่น หรือเกือบ 400 คนในช่วง 5 ปีที่ก่อตั้งบริษัท
สร้างนวัตกรรมแปลกใหม่ สำหรับการศึกษาในหลักสูตรใช้เวลาประมาณ 3 เดือน เฉพาะวันเสาร์ รวมทั้งหมด 12 ครั้ง โดยกิจกรรมคอร์สประกอบด้วย Team Building Trip การสร้างทีมเวิร์ก และวางเป้าหมาย ด้วยการออกเดินทางทริปในประเทศ 2 วัน 1 คืน ประกอบด้วย Keynote Speakers เรียนรู้เกี่ยวกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ Design Thinking Workshop เรียนรู้กระบวนการและวิธีคิดแบบนวัตกร Lean Business Model Workshop เข้าใจการทำงานภายใต้แนวคิด “Lean” รวมถึง Group Projects & Business Pitch คิดค้นและทำโปรเจกต์ให้เกิดขึ้นจริง “ชั่วโมงท้ายๆ ช่วง Business Pitch เราเชิญ Venture Capital ตัวจริงมานั่งฟังด้วยถ้าคุณมีคอนเซปต์ไอเดียที่ดี คุณมีสิทธิ์ได้ทุนไปทำโครงการเดี๋ยวนั้นเลย รวมทั้ง FINE เอง ที่ตั้งรางวัลให้กับผู้ชนะเลิศที่มีไอเดียที่ดีที่สุดอีก 1 แสนบาท” ปณิธิยกตัวอย่างโครงการที่น่าสนใจของกลุ่มนักเรียน FINE เช่น โครงการเปิดประสบการณ์ใหม่ Avagard Capsule Hotel โรงแรมแคปซูลธีมอวกาศ Boxtel แห่งแรกที่สนามบินสุวรรณภูมิ ได้รับความนิยมในกลุ่มนักเดินทางต่างชาติที่รอเวลาเปลี่ยนเครื่อง รวมถึงคนไทยที่ลงเครื่องเวลากลางคืน แต่ยังไม่ต้องการนั่งแท็กซี่กลับบ้าน และมองหาพื้นที่พักผ่อนก่อนเลือกออกจากสนามบินช่วงเช้าแทน ขณะที่ Vitaboost เป็นผลงานนักเรียน FINE รุ่นที่ 1 #healthTech Startup ซึ่งกำลังได้รับการจับตามองอย่างมาก ด้วยความมุ่งมั่นเป็นผู้นำการให้บริการทางการแพทย์แบบให้บริการถึงบ้าน โดยเคาะประตูสร้างสุขภาพที่ดีจากทีมแพทย์ นักเวชศาสตร์ชะลอวัย เภสัชกร และนักกำหนดอาหารวิชาชีพ รวมทั้ง Snoot Pet สตาร์ทอัพที่ให้ความสำคัญกับสัตว์เลี้ยงเสมือนหนึ่งสมาชิกในครอบครัว โดยให้บริการดูแลสุนัขและแมวถึงบ้าน ส่งคนมาอยู่เป็นเพื่อน พาเดินพาเล่น อาบน้ำ ตัดขน กรูมมิ่ง ป้อนอาหารและยา เป็นต้น ทั้งนี้ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทยังได้เปิดสอนกลุ่มองค์กรหรือกลุ่มบริษัท (Future Innovative Enterprise) สำหรับผู้นำที่มองเห็นผลกระทบจากดิสรัปทีฟ เทคโนโลยี ซึ่งจะปรับวิสัยทัศน์ วัฒนธรรมองค์กรและโรดแมป รวมถึงการสร้างทีมเวิร์ก การคิดโปรเจกต์ หรือ Initiative ต่างๆ ที่สร้างคุณค่าองค์กรได้จริง ทั้งยังรับจัดหลักสูตรสำหรับองค์กรต่างๆ พร้อมทั้งเป็นที่ปรึกษาหลักสูตรอีกด้วย “การคาดการณ์ว่าอีก 3-5 ปีจะเกิดอะไรขึ้นโจทย์แบบนี้จะไม่มีอีกแล้ว แต่จะเป็นโจทย์ที่มีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา นักธุรกิจรุ่นใหม่ต้องมีวิธีคิด วิธีมอง วิธีรับมือ ส่วนองค์กรต้องเปิดหูเปิดตา และเปิดกว้างรับเทคโนโลยีใหม่ อย่ายึดติดกับวิธีการเดิมขณะที่ผลิตภัณฑ์ก็ต้องสามารถต่อยอดไปได้เรื่อยๆ ไม่มีวันหมดอายุ” ปณิธิ กล่าวทิ้งท้าย เรื่องโดย ภาณุมาศ เกตุสวัสดิ์  
คลิกอ่านบทความทางด้านธุรกิจการลงทุนได้ที่ นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับพิเศษ "Wealth Management & Investing 2020" ในรูปแบบ e-magazine ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย