สภาพัฒน์ชี้สังคมไทยเครียดสะสม ทุกช่วงอายุเจอปัญหา Mental Health ปี 66 ผู้ป่วยจิตเวชพุ่ง 2.9 ล้านคน - Forbes Thailand

สภาพัฒน์ชี้สังคมไทยเครียดสะสม ทุกช่วงอายุเจอปัญหา Mental Health ปี 66 ผู้ป่วยจิตเวชพุ่ง 2.9 ล้านคน

ปัจจุบัน สุขภาพจิต เป็นปัญหาที่ประเทศไทยต้องให้ความสำคัญ จากข้อมูลกรมสุขภาพจิต พบว่า ในปี 2566 ไทยมีผู้ป่วยจิตเวชเข้ารับบริการเพิ่มขึ้นเป็น 2.9 ล้านคน (จากปี 58 ที่ 1.3 ล้านคน) แต่คาดว่าอาจมีผู้มีปัญหาอาจมากถึง 10 ล้านคน ถือเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับโลก


    สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ เปิดเผยว่า ประเทศไทยพบผู้มีความเสี่ยงด้านสุขภาพจิตเพิ่มขึ้น เพียงช่วง 1 ต.ค. 2566 - 22 เม.ย. 2567 พบผู้มีความเครียดสูงถึง 15.48% เสี่ยงซึมเศร้า 17.20% และเสี่ยงฆ่าตัวตาย 10.63% ทั้งนี้ ด้วยสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมที่มีความกดดันส่งผลให้คนไทยเป็นโรคซึมเศร้าและโรควิตกกังวลมากขึ้นด้วย 

    นอกจากนี้ ไทยกำลังประสบปัญหาฝุ่น PM 2.5 สูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ซึ่งจากการศึกษาในประเทศอังกฤษ พบว่า มลพิษทางอากาศส่งผลให้เกิดภาวะซึมเศร้าในเยาวชนเพิ่มขึ้น 20.0%


    อย่างไรก็ตาม หากดูตามช่วงอายุ จะพบว่า ทุกกลุ่มต้องเจอปัญหาสุขภาพจิตที่แตกต่างกัน

    1) วัยเด็กและเยาวชน พบภาวะความเครียด มีสาเหตุหลักจากการเรียนและความคาดหวังด้านการทำงานในอนาคต ไปจนถึงสถานะทางการเงินของครอบครัว นอกจากนี้ การกลั่นแกล้งเซึ่งทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า

    2) วัยทำงาน ความรับผิดชอบสูง และหลายปัญหารุมเร้า บริษัท Kisi พบว่า ในปี 2565 กรุงเทพฯ อยู่ในอันดับ 5 จาก 100 เมืองทั่วโลกที่มีผู้คนทำงานหนักเกินไป สอดคล้องกับมหาวิทยาลัยมหิดล ที่พบว่า คนกรุงเทพฯ 7 ใน 10 หมดไฟในการทำงาน อีกทั้ง ข้อมูลจากสายด่วน 1323 ของกรมสุขภาพจิต พบว่า ปี 2566 วัยแรงงานขอรับบริการเรื่องความเครียด วิตกกังวล ไม่มีความสุขในการทำงานถึง 5,989 สาย จากทั้งหมด 8,009 สาย

    3) ผู้สูงวัยต้องอยู่กับความเหงาและโดดเดี่ยว สูญเสียคุณค่าในตนเอง ในปี 2566 พบว่า ผู้สูงอายุ 84.93% มีความสุขในระดับที่ดี แต่จะลดน้อยลงตามวัย ส่วนหนึ่งเกิดจากการขาดกิจกรรมและบทบาททางสังคม อีกทั้ง ยังพบผู้สูงอายุที่ต้องอยู่คนเดียวเพิ่มขึ้น และมีผู้สูงอายุอีก 800,000 คน มีภาวะความจำเสื่อม ซึ่งส่วนใหญ่มีปัญหาสุขภาพจิตด้านอื่นร่วมด้วย

    ทั้งนี้ ปัญหาสุขภาพจิตไม่เพียงกระทบต่อบุคคล แต่ยังส่งผลต่อเศรษฐกิจ โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่า ภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวลของประชากรทั่วโลก ทำให้วันทำงานหายไปประมาณ 12,000 ล้านวัน สร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ดังนั้นภาครัฐต้องเร่งแก้ไขในด้านนี้อย่างจริงจัง

    ดังนั้น สภาพัฒน์มีข้อเสนอแนะใน 3 ด้าน ได้แก่

    1) การป้องกัน ต้องสร้างความเข้มแข็งให้สถาบันทางสังคม โดยเฉพาะสถาบันครอบครัว เน้นเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดี อาทิ การพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้สึก การเลี้ยงดูเชิงสร้างสรรค์ สถาบันการศึกษา ต้องเสริมสร้างความรู้ด้านสุขภาพจิต ผ่านการเรียนการสอน รวมถึงการเฝ้าระวังพฤติกรรมเสี่ยงและให้ความช่วยเหลือเยียวยาแก่นักเรียน/นักศึกษา สถานที่ทำงาน ต้องสร้างสภาพแวดล้อมและระบบการทำงานที่ดีและลดความเสี่ยงด้านสุขภาพจิต และสถาบันชุมชน ต้องส่งเสริมการพัฒนาและจัดบริการสุขภาพจิตในชุมชน

    2) การรักษา เร่งเพิ่มบุคลากรด้านสุขภาพจิตให้เพียงพอ รวมทั้งขยายบริการการรักษาผู้ป่วยจิตเวชในสถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด อีกทั้งต้องนำเทคโนโลยี ดิจิทัลมาใช้ให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการบริการ

    3) การติดตามและฟื้นฟูเยียวยา ต้องจัดทำฐานข้อมูลกลางด้านสุขภาพจิตที่ครอบคลุม เร่งติดตามผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงก่อความรุนแรงให้ได้รับการรักษาต่อเนื่อง รวมทั้งพัฒนาระบบสวัสดิการชุมชนและสังคม ในการส่งเสริมการฟื้นฟูสภาพจิตใจและขับเคลื่อนงานด้านสุขภาพจิต



Image by freepik



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : สภาพัฒน์เผย คนไทยวัยมีคู่กว่า 40% ยังโสด เหตุ ‘งานหนัก-ไม่เจอคน’ แนะรัฐหนุน Work-life Balance ให้เจอคนที่ใช่

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine