เจาะลึกเบื้องหลังหลักสูตร วทจ. ทำไมถึงเป็นหลักสูตรที่ครบเครื่อง ตอบโจทย์ผู้นำที่ต้องการรู้ลึก รู้รอบเรื่องจีน - Forbes Thailand

เจาะลึกเบื้องหลังหลักสูตร วทจ. ทำไมถึงเป็นหลักสูตรที่ครบเครื่อง ตอบโจทย์ผู้นำที่ต้องการรู้ลึก รู้รอบเรื่องจีน

    จีนใช้เวลาเพียง 40 ปี พลิกฟื้นประเทศ จากที่เคยได้ชื่อว่าเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ยากจน สู่พญามังกร ที่พร้อมท้าชิงมหาอำนาจโลกอย่างสหรัฐอเมริกา การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของจีน ไม่เพียงสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญสำหรับประเทศไทย ในฐานะมิตรประเทศ ที่มีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับจีนมาอย่างยาวนาน ดั่งคำกล่าวที่ว่า ไทยจีนใช่อื่นไกล พี่น้องกัน

    อย่างไรก็ตาม กุญแจดอกสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยสามารถเติบโตไปพร้อมกับยักษ์ใหญ่แห่งเอเชีย คือ การทำความเข้าใจจีนอย่างลึกซึ้ง ทั้งมิติเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรม เพื่อนำไปสู่การสร้างโอกาสทางธุรกิจที่ยั่งยืน


​อรัญ เอี่ยมสุรีย์ ผู้ก่อตั้งสถาบันวิทยาการผู้นำไทย-จีน มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ

    อรัญ เอี่ยมสุรีย์ ผู้ก่อตั้งสถาบันวิทยาการผู้นำไทย-จีน มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ คือ หนึ่งในผู้ที่เล็งเห็นความสำคัญของการสร้างสะพานแห่งความเข้าใจระหว่างไทย-จีน จึงได้พัฒนาหลักสูตร วิทยาการผู้นำไทย-จีน (วทจ.) ขึ้นมา เพื่อสร้างผู้นำยุคใหม่ที่มีวิสัยทัศน์ พร้อมนำพาธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ โดยเน้นการเสริมสร้างความรู้เชิงลึกด้านวัฒนธรรม ปรัชญาการทำธุรกิจ และยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศของจีน โดยหัวใจสำคัญของหลักสูตรนี้ คือ การเพิ่มโอกาสและประสานความร่วมมือในทุกมิติ ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อสานสัมพันธ์และสร้างเครือข่ายธุรกิจไทย-จีนที่ยั่งยืน


​จากแรงบันดาลใจจากครอบครัว สู่ผู้ปลุกปั้นหลักสูตรคุณภาพด้านจีนศึกษา

    อรัญ พาย้อนวันวานไปเมื่อช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ญี่ปุ่นรุกรานจีน ในช่วงในเวลานั้น คนส่วนใหญ่รู้จักประเทศจีน ในฐานะประเทศยากจน จนคนจีนต้องอพยพไปอยู่ประเทศต่างๆ รวมถึงประเทศไทย ซึ่งครอบครัวของอรัญเองก็เป็นหนึ่งในครอบครัวคนจีน มีอากง (เหียกวงเอี่ยม) เป็นชาวจีนโพ้นทะเล ที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย แต่ยังสำนึกรักบ้านเกิด และมีบทบาทสำคัญในการระดมทุนจากคนจีนในไทย เพื่อส่งไปช่วยจีนรบญี่ปุ่น จนตอนหลังถูกลอบสังหารเสียชีวิต ทว่าเรื่องราวความเสียสละของอากงยังเป็นที่กล่าวขานจากรุ่นสู่รุ่น ในฐานะวีรชนคนจีนโพ้นทะเล

​    อรัญ ยอมรับว่า ด้วยความที่เติบโตมากับระบบการศึกษาแบบตะวันตกตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเรียนจบปริญญาโทจากสหรัฐฯ ทำให้กรอบความคิดของเขาเหมือนกับคนส่วนใหญ่ในยุคนั้น คือ มีความตะวันตก และมีความรู้เกี่ยวกับประเทศจีนจำกัด กระทั่งอรัญมาพบกับจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อได้รับคัดเลือกให้เป็นตัวแทนประเทศไทยในการประชุมสองสภา ที่ประเทศจีน และได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์จีนโพ้นทะเล ทำให้มุมมองของเขาเปลี่ยนไปตลอดกาล

    "พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์จีนโพ้นทะเลที่กรุงปักกิ่ง จะจัดแสดงข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่างที่เดินชมพิพิธภัณฑ์ ผมไปสะดุดกับตู้ที่โชว์ชุดกี่เพ้า ซึ่งเป็นกี่เพ้าที่อาม่าของผมสวมในวันที่อากงถูกลอบยิง กี่เพ้านั้นทำให้ผมตระหนักถึงความรักชาติของบรรพบุรุษ และชวนให้นึกถึงคำพูดสุดท้ายของอากงที่ว่า "ฉันกำลังจะตายแล้วนะ แต่พวกเธออย่าเสียใจ เชื่อฉันอย่างหนึ่ง ประเทศจีนจะชนะสงครามครั้งนี้" ภาพตรงหน้าและความทรงจำทั้งหมดทำให้ผมกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองว่า ในฐานะคนรุ่นหลัง ผมจะทำอะไรได้บ้าง เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับประเทศจีน ซึ่งในยุคนั้นคนไทยยังมีความเข้าใจค่อนข้างน้อย ขณะที่จีนมีการพัฒนาและเติบโตอย่างรวดเร็ว"

    จากแรงบันดาลใจที่ถูกจุดประกายในวันนั้น ทำให้อรัญตัดสินใจก่อตั้งหลักสูตรวิทยาการผู้นำไทยจีน หรือ วทจ. รุ่นที่ 1 ขึ้นในปี 2561 ซึ่งถือเป็นหลักสูตรแรกๆ ในไทยที่ให้ความรู้เกี่ยวกับประเทศจีนแบบครบทุกมิติ

    "สิ่งที่ผมให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกตอนที่ตั้งต้นว่าจะทำหลักสูตร คือ Combination ของผู้เรียนในรุ่น ผมทุ่มเทกับการคัดเลือกผู้เรียนในแต่ละรุ่น ด้วยการสัมภาษณ์เองทุกคน คุณสมบัติสำคัญ นอกจากจะต้องเป็นผู้ที่มีความสนใจด้านเศรษฐกิจ ธุรกิจไทย-จีน และความสัมพันธ์ไทย-จีนหลัก ผมจะเน้นผู้เรียนที่มีอยู่ในระดับผู้นำขององค์กร นักวิชาการ ทั้งในฝั่งธุรกิจ รัฐวิสาหกิจ หรือเป็นข้าราชการระดับ 9 ขึ้นไป ที่ความสนใจด้านเศรษฐกิจ ธุรกิจไทย-จีน และความสัมพันธ์ไทย-จีน เพราะมองว่าด้วยพลังของผู้นำกลุ่มนี้จะส่งต่อความรู้เกี่ยวกับประเทศจีนออกไปในวงกว้าง

    ในรุ่นแรก ผมตั้งต้นจากการชักชวนเพื่อนสนิทมาเรียน ราวๆ 80 คน ตอนนั้นหลายคนมาด้วยความเกรงใจ แต่พอได้มาเรียนจริง ก็ประทับใจ จนทำให้หลักสูตรประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก มีการบอกต่อปากต่อปาก จนเป็นที่รู้จักในวงกว้าง และจนมีผู้สนใจสมัครเข้าศึกษาในรุ่นต่อๆ มาเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีการเพิ่มเติมหลักสูตรสำหรับผู้บริหารรุ่นใหม่ โดยใช้ชื่อว่า หลักสูตรวิทยาการผู้นำรุ่นใหม่ไทย-จีน (วมทจ.)"

    ปัจจุบัน วทจ. มีทั้งหมด 7 รุ่น ส่วน วมทจ. มีด้วยกัน 5 รุ่นด้วยกัน นอกจากนี้ยังมีหลักสูตรพิเศษที่ทำร่วมกันมหาวิทยาลัยชิงหวา ซึ่งเป็นคอร์สระยะสั้น เปิดโอกาสให้ทั้งศิษย์เก่า วทจ. และบุคคลทั่วไปเข้าร่วม โดยผู้เรียนจะได้ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยชิงหวา ณ กรุงปักกิ่ง พร้อมทั้งดูงานบริษัทชั้นนำระดับประเทศของจีน เป็นเวลา 6 วัน มหาวิทยาลัยชิงหวาเป็นหนึ่งในสถาบันการศึกษาชั้นนำของประเทศจีนและของโลก มีชื่อเสียงในด้านวิชาการและการวิจัย โดยเฉพาะในสาขาวิศวกรรมศาสตร์และวิทยาศาสตร์ อีกทั้งในอนาคตจะมีการขยายความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำอื่นๆ ของจีน เช่น มหาวิทยาลัยฟูตัน (Fudan University),มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เจียวทง (Shanghai Jiao Tong University) และ มหาวิทยาลัยเจ้อเจียง (Zhejiang University) เพื่อเสริมความรู้เฉพาะทางในด้านที่แต่ละมหาวิทยาลัยเชี่ยวชาญ


​เข้าใจอดีต รู้ปัจจุบัน เห็นอนาคตจีน

    ถ้าถามว่าอะไรคือจุดแข็งของหลักสูตรวทจ. อรัญยกให้เนื้อหาในหลักสูตรที่จัดมาแบบเข้มข้น เพราะไม่ได้มุ่งเน้นให้เรียนรู้จีนในมิติของเศรษฐกิจหรือการเมืองเท่านั้น แต่ยังเรียนรู้ไปจนถึงรากเหง้าของวัฒนธรรมจีน แนวทางการพัฒนาจากประเทศยากจน จนก้าวมาเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจของโลก รวมถึงแนวทางการพัฒนาต่างๆ เช่น โครงการ Belt and Road Initiative หรือ One Belt One Road, โครงสร้างการเมืองของจีน เส้นทางการขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำสูงสุด ไปจนถึงความก้าวล้ำของเทคโนโลยี เจาะลึกเรื่อง AI, สตาร์ตอัป, เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) และแนวโน้มการลงทุนของจีนในอนาคต

    "ที่พิเศษ คือ หลักสูตรวทจ. ยังเจาะลึกไปถึงการทำความเข้าใจวัฒนธรรมและแนวคิดของชาวจีน ซึ่งรวมถึงการศึกษาตำราพิชัยสงครามของจีนอย่าง "ซุนวู" ซึ่งเป็นสิ่งที่หล่อหลอมอยู่ในใจของชาวจีน เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจวิธีคิดของผู้นำจีนและสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตและธุรกิจของตนเองได้เป็นอย่างดี"

    อีกหนึ่งไฮไลต์ของหลักสูตร อรัญ ยกให้กิจกรรมที่พาผู้เรียนไปลงพื้นที่ศึกษาดูงานและศึกษาที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศจีน นอกจากผู้เรียนจะได้สัมผัสประสบการณ์การเรียนการสอนแบบลงลึก ยังได้รับโอกาสพิเศษในการพบปะกับผู้นำระดับสูงของจีน รวมถึงเปิดประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ และได้รับการดูแลเป็นอย่างดีตลอดทริป เรียกได้ว่าเป็นหลักสูตรที่มีความครบเครื่อง นอกจากจะสร้างความรู้จีนที่ทันสมัยรู้ถึงปัจจุบันและมองเห็นอนาคตของจีนทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ความมั่นคง สร้างความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในประเด็นความสัมพันธ์ไทย-จีน พร้อมทั้งเรียนรู้ศูนย์กลางบริหารประเทศ มหานครปักกิ่งอย่างลึกซึ้ง ยังควบคู่ไปกับการสร้างเครือข่ายแห่งโอกาส สร้างความสัมพันธ์ยั่งยืนของสองประเทศ ผ่านเครือข่ายคนไทยเชื้อสายจีนรุ่นใหม่ องค์กรระหว่างประเทศไทย-จีน สถาบันการศึกษา องค์กรธุรกิจ องค์กรทางสังคมชั้นนำ รวมถึงในกลุ่มเพื่อนร่วมรุ่นอีกด้วย

​    สำหรับในอนาคต อรัญมองว่า หลักสูตร วทจ. จะใช้พลังเครือข่ายศิษย์เก่ากว่า 1,000 คน ซึ่งมาจากหลากหลายวงการและมีบทบาทสูงในสังคม กลายเป็นพลังสำคัญในการช่วยเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับประเทศจีน เป็นทูตสันถวไมตรี ที่เป็นสะพานเชื่อมโยงระหว่างไทย- จีน


​ส่องอนาคตจีน ยิ่งรู้เขารู้เรา ยิ่งปลอดภัยร้อยครั้ง

    เมื่อถามถึงภาพอนาคตของจีนในอีก 5-10 ปีข้างหน้า อรัญ มองว่า แม้ว่าจีนจะเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ และปัญหาเรื่องฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ แต่ด้วยความแข็งแกร่งของจีน ซึ่งมีการปกครองแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เชื่อว่าจะทำให้สามารถข้ามผ่านปัญหาและก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจของโลกได้อย่างแน่นอน

    "จีนได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ความเป็นพรรคคอมมิวนิสต์ที่เคยถูกมองว่าเป็นจุดอ่อนของจีน กำลังกลายเป็นจุดแข็งในการพัฒนาประเทศของจีน เพราะช่วยให้รัฐบาลสามารถตัดสินใจและดำเนินการได้อย่างเด็ดขาด ยกตัวอย่าง การปราบปรามการทุจริตที่ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้บริษัทใหญ่ๆ ของจีนส่วนใหญ่ยังเป็นรัฐวิสาหกิจ ทำให้รัฐบาลสามารถกำกับดูแลและขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ให้เติบโตต่อไปได้อีกมาก สำหรับประเทศไทยในฐานะประเทศเล็กๆ ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับจีน การรู้จักจีนอย่างลึกซึ้งและรวดเร็วจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพื่อให้ไทยสามารถเป็นพันธมิตรที่ก้าวหน้าไปพร้อมกับจีน"

    อรัญยังกล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า ด้วยศักยภาพและอิทธิพลของจีนที่เพิ่มขึ้น ทำให้จีนกลายเป็นประเทศเนื้อหอม ที่ใครๆ ก็อยากเข้ามาเจาะตลาด ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าประเทศถึง 20 เท่า แต่แน่นอนว่าการจะเข้าไปเจาะตลาดก็ยากกว่าถึง 20 เท่าเช่นกัน ดังนั้น การที่จะต่อยอดโอกาสในการทำธุรกิจในประเทศจีนอย่างยั่งยืน จึงต้องเริ่มจากการวางรากฐานความรู้และความเข้าใจประเทศจีนให้ครบทุกมิติ ผมเองทุกวันนี้ จากที่หลายคนมาเรียนเพราะเกรงใจ ตอนนี้ผมกลายเป็นต้องเกรงใจที่จะปฏิเสธหลายคนที่อยากจะเข้าเรียนเพราะผมยังคงเจตนาเดิมที่อยากจะคัดสรรผู้เรียนที่เหมาะกับหลักสูตรจริงๆ"

    ผู้ที่มองเห็นโอกาสในการเติบโตในตลาดจีน และต้องการเสริมสร้างความเข้าใจเชิงลึกอย่างเป็นระบบ สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.tclhcu.com หรือ Facebook: facebook.com/tclhcu และสอบถามข้อมูลโดยตรงได้ที่ โทร. 02-312-6387 หรือ 02-312-6300 ต่อ 1546 หรือแอด Line ID: @tclhcu (มี @ ด้านหน้า) เพื่อพูดคุยกับทีมงาน