โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ซิตี้แคมปัส ขยายอาณาจักรพื้นที่อาคารเรียนสำหรับเด็กเล็กเพื่อรองรับเด็กอนุบาลผ่านการเรียนการสอนด้วยหลักสูตร English Program แท้ๆ ตามแบบฉบับประเทศอังกฤษ หวังตอบโจทย์เหล่าผู้ปกครองที่ต้องการให้ลูกหลานได้ศึกษาผ่านสถาบันคุณภาพในระดับพรีเมียม
โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ (Shrewsbury International School Bangkok Riverside Campus) แห่งแรกในไทยที่ตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยาหรือที่รู้จักกันดีในนามวิทยาเขตสาขา ริเวอร์ไซด์ แคมปัส ได้ก่อตั้งขึ้นในปี 2003 โดยนักธุรกิจจากตระกูลดังอย่าง 'ชาลี โสภณพนิช' ซึ่งการเปิดตัวของสาขาแรกดังกล่าวยังถือเป็นก่อตั้งโรงเรียนในเครือโชรส์เบอรีจากประเทศอังกฤษสาขาแรกในเอเชียอีกด้วย
หลังการเปิดตัวธุรกิจด้านสถาบันการศึกษาของสาขาริเวอร์ไซด์แคมปัสที่ให้บริการผ่านหลักสูตรรองรับนักเรียนนานาชาติแบบครบวงจรนับตั้งแต่ระดับชั้น EY1- Year 13 ทางโรงเรียนก็ได้กระแสตอบรับจากเหล่าผู้ปกครองทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่พำนักพักอาศัยในประเทศไทย ด้วยการส่งบุตรหลานเข้ามาเรียนผ่านหลักสูตรภาษาอังกฤษล้วนนับตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลจนถึงชั้นมัธยมศึกษาเป็นจำนวนกว่า 2,000 คน โดยหลักสูตรการเรียนการสอนดังกล่าวขึ้นชื่อได้ว่ามีมาตรฐานสูงในระดับอินเตอร์และยังถือเป็นหนึ่งในหลักสูตรที่ดีที่สุดในโลกที่ได้การยอมรับจากเหล่าสถาบันการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยชั้นนำอันมีชื่อเสียงเป็นอย่างดี
เมื่อสั่งสมชื่อเสียงในไทยจากการที่เหล่าผู้ปกครองต่างเลือกส่งลูกหลานมาเรียนจนมีชื่ออยู่ในระดับต้นๆ ของธุรกิจโรงเรียนนานาชาตินับตั้งแต่เริ่มต้นนานถึง 15 ปี ถัดมาในปี 2018 โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ซิตี้แคมปัส (Shrewsbury International School Bangkok City Campus) สาขาสองจึงได้เปิดตัวขึ้นบนพื้นที่ขนาด 15 ไร่ ซึ่งตั้งอยู่บนทำเลทองใจกลางกรุงระหว่างถนนสุขุมวิทและถนนพระราม 9 หรือเรียกง่ายๆ ว่าตั้งอยู่บริเวณด้านหลังโรงพยาบาลปิยะเวท โดยมีงบลงทุนอยู่ที่ราวๆ 2,600 ล้านบาท
เหตุผลหลักของการเปิดแคมปัสแห่งที่สองในกรุงเทพฯ นี้ ทางผู้ก่อตั้งโรงเรียนเคยให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อเอาไว้ว่า เป็นเพราะช่วง 3 ปีก่อนหน้า ทางโรงเรียนจำเป็นต้องปฏิเสธพ่อแม่ผู้ปกครองที่พาเด็กๆ มาสมัครเข้าเรียนในระดับอนุบาลและประถมศึกษาที่สาขาริเวอร์ไซด์ แคมปัส มากกว่า 650 คน แม้ว่าเด็กๆ เหล่านี้จะมีคุณสมบัติที่ครบถ้วนผ่านเกณฑ์การคัดเลือก แต่ด้วยพื้นที่อันจำกัดของโรงเรียนจึงทำให้สามารถรับเด็กเข้าเรียนได้เพียงปีละ 75 คนเท่านั้น ส่งผลให้มีเด็กที่รอคิวเพื่อเข้าเรียนในสถานศึกษาแห่งนี้เป็นจำนวนมาก
อแมนดา เดนนิสัน ครูใหญ่และผู้บริหารรุ่นก่อตั้งโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ซิตี้แคมปัส บอกเล่าเรื่องราวให้ Forbes Thailand ฟังว่า เธอเริ่มอาชีพครูที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ปัจจุบันมีประสบการณ์การทำงานที่สั่งสมมานานกว่า 35 ปี โดยในปี 2010 เธอได้ตัดสินใจมาร่วมงานในตำแหน่งรองครูใหญ่และหัวหน้าฝ่ายประถม Vice Principal - Head of Junior กับโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรีกรุงเทพ ริเวอร์ไซด์ ในเมืองไทยเป็นแห่งแรก หลังจากนั้นในปี 2018 เธอได้รับการแต่งตั้งให้เป็นครูใหญ่ที่โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรีกรุงเทพ ซิตี้แคมปัส ซึ่งหากนับรวมจากอดีตจนถึงปัจจุบัน Amanda มีความคุ้นเคยกับการทำงานผ่านหลักสูตรของโชรส์เบอรีในประเทศไทยถึง 14 ปี เธอจึงมีความพร้อมอย่างเต็มที่สำหรับอีกก้าวแห่งการบริหารจัดการความท้าทายใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นภายในของโรงเรียนแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี
"โรงเรียนของเราถือเป็นหนึ่งในสถาบันการศึกษาที่ขึ้นชื่อได้ว่ามีคุณภาพมาตรฐานมากๆ ในระดับโลก และยังมีชื่อเสียงโด่งดังจากแนวทางหลักสูตรการเรียนการสอนที่ยึดปฏิบัติกันมานานด้วยประสบการณ์มากกว่า 500 ปี นอกจากนี้ทีมงานผู้บริหารและคณะครูทุกท่านยังมีแนวทางการทำงานอย่างใกล้ชิดกับระดับ Headquarter ที่อังกฤษ รวมถึงโรงเรียนโชรส์เบอรีของฮ่องกงที่เพิ่งเปิดตัวในปี 2018 ด้วยเช่นกัน ซึ่งการเปิดตัวซิตี้แคมปัสแห่งที่สองนี้ ทางคุณชาลี ผู้ก่อตั้งโรงเรียนรวมถึงทีมงานทั้งหมดก็ยังมองเห็นศักยภาพของธุรกิจสถาบันการศึกษาอย่าง โรงเรียนนานาชาติ ว่าเมืองไทยถือเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงและยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่องแน่นอนสำหรับประเทศในแถบภูมิภาคเอเชีย"
ทั้งนี้ ทางครูใหญ่และในฐานะผู้บริหารรุ่นก่อตั้งโรงเรียน ยังบอกอีกด้วยว่า "โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ซิตี้แคมปัส เน้นหลักในการมอบประสบการณ์การเรียนรู้ที่เป็นเลิศ มุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศทางการศึกษา ผ่านการออกแบบหลักสูตรที่เน้นนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยให้แก่นักเรียนในระดับอนุบาลและชั้นประถมศึกษาได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการสร้างความร่วมมือที่แข็งแกร่งผ่านการเชื่อมโยงระหว่างโรงเรียนและครอบครัว รวมถึงการสนับสนุนการพัฒนารอบด้านของนักเรียน เพื่อส่งมอบประสบการณ์การศึกษาที่มีคุณภาพในระดับพรีเมียมให้แก่เด็กได้อย่างยั่งยืนในอนาคตเป็นสำคัญ"
โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรีกรุงเทพ ซิตี้แคมปัส เปิดให้บริการนับตั้งแต่ปี 2018 มุ่งเน้นให้บริการด้านการเรียนการสอนนับตั้งแต่เด็กเล็กระดับ Nursery ก่อนอนุบาล ต่อเนื่องไปจนถึงชั้นอนุบาลถึงระดับประถมศึกษา Year 6 (อายุ 2-11 ปี) โดยนักเรียนที่สำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษาที่โชรส์เบอรีกรุงเทพ ซิตี้แคมปัส แห่งนี้ จะได้รับการรับรองในการเข้าเรียนต่อระดับมัธยมศึกษาที่โชรส์เบอรีกรุงเทพ ริเวอร์ไซด์ และยังมีโอกาสสอบเข้ามหาวิทยาลัยของโชรส์เบอรีที่อังกฤษหรือสถาบันอื่นในอนาคตได้อีกด้วย โดยปัจจุบันสาขาซิตี้แคมปัสมีจำนวนนักเรียนรวมทั้งหมดประมาณ 550 คน เพิ่มขึ้นจากปีแรกที่มีนักเรียนราวๆ 165 คน ซึ่งล่าสุดทางโรงเรียนเองยังได้ทำการต่อเติมพื้นที่อาคารเรียนสำหรับชั้นอนุบาลในวัย 2-5 ปีขึ้นโดยเฉพาะ ทั้งนี้เพื่อขยายอาณาจักรให้มีขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นสามารถรองรับนักเรียนได้อย่างสมบูรณ์แบบและเต็มประสิทธิภาพเป็นทั้งหมดจำนวน 744 คน
ด้าน แคธเทอรีน โอคิล ผู้ช่วยครูใหญ่ฝ่ายเด็กอนุบาลและประถมต้น ได้เล่าให้ฟังว่า เธอเริ่มต้นเริ่มจากการดูแลและสอนเด็กเล็กด้วยใจรักมาตั้งแต่อายุ 16 ปี หลังจากนั้นจึงได้คร่ำหวอดอยู่ในวงการศึกษาด้วยการทำอาชีพครูมานานกว่า 25 ปี โดยเริ่มสอนที่อังกฤษ อินเดีย สวิตเซอร์แลนด์ สวีเดน และออสเตรเลีย หลังจากนั้นจึงได้มีโอกาสมาร่วมงานที่โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรีกรุงเทพ ริเวอร์ไซด์ เป็นเวลา 5 ปี และล่าสุดก็ได้มาทำงานร่วมกับคุณอแมนด้าในการเป็นส่วนหนึ่งของทีมโอเปอเรชั่นเพื่อเปิดโรงเรียนอีกสาขาที่ซิตี้แคมปัสแห่งนี้ ซึ่ง ณ ปัจจุบันเธอดำรงตำแหน่งป็นผู้ช่วยครูใหญ่ที่ซิตี้แคมปัสก้าวเข้าสู่ปีที่ 7
"สำหรับหลักสูตรการเรียนการสอนของที่นี่ เราเน้นให้เด็กๆ เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ ควบคู่ไปกับการใช้วิธีสังเกตว่าเด็กแต่ละคนได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ จากหลักสูตรที่สอนให้แล้วเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งหลักสูตรดังกล่าวสามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมให้เหมาะสมกับการพัฒนาทักษะของเด็กแต่ละคน และยังรวมไปถึงการเรียนการสอนที่เน้นให้เด็กๆ ได้ปีนป่ายต้นไม้เรียนรู้สิ่งต่างๆ จากธรรมชาติและมีขอบเขตในการเล่นอย่างระมัดระวังเพื่อความปลอดภัยในโซน Forest School หรือ Tree Climbing และการเรียนรู้ในการเคารพสิทธิผู้อื่นและตนเองจากกิจกรรม Massage In School เป็นต้น"
อแมนด้า และแคธเทอรีน ยังเล่าย้อนอดีตให้ฟังด้วยว่า ถือเป็นการเตรียมความพร้อมและรับมือกับความท้าทายต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก เพราะหลังจากเปิดตัวซิตี้แคมปัสในปี 2018 ถัดจากนั้นไม่นานก็เกิดสถานการณ์โควิด-19 แพร่ระบาด ทางทีมงานและบุคลากรของโรงเรียนจึงต้องวางแผนกลยุทธ์ในด้านต่างๆ ให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพเพราะเป็นโรงเรียนสำหรับเด็กเล็กที่มีพ่อแม่ผู้ปกครองต่างเป็นห่วงบุตรหลานของตนเองเป็นจำนวนมาก โดยปัจจุบันเองทางโรงเรียนก็ยังต้องพัฒนาและปรับปรุงสิ่งต่างๆ ให้ดีพร้อมและได้มาตรฐานอยู่เสมอ ทั้งเรื่องการจัดอบรมพัฒนาประสิทธิภาพของบุคคลากรภายในองค์กรอย่างต่อเนื่อง การดูแลรักษาอาคารสถานที่ให้ปลอดภัย สะอาด ทันสมัย เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามวิสัยทัศน์และเป้าประสงค์การศึกษาแบบโชรส์เบอรีอย่างแท้จริง และนี่จึงถือได้ว่า 'โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี' คือ หนึ่งในโรงเรียนนานาชาติไม่กี่แห่งที่มีค่าใช้จ่ายแพงที่สุดในประเทศไทย แต่มากด้วยคุณภาพการศึกษาในระดับพรีเมียมครบด้านเหล่าผู้ปกครองจึงมองเห็นว่าคุ้มค่าแก่ราคาที่จ่ายไป
'อังกฤษขนานแท้' กับหลักสูตรระดับมาตรฐานโลก
หลักสูตรของโรงเรียนโชรส์เบอรี ทั้ง 2 แคมปัสจะยึดตามแนวทางปฏิบัติของการเรียนการสอนในรูปแบบเดียวกัน โดยในส่วนของซิตี้แคมปัสที่เน้นเปิดสอนในระดับเด็กเล็กนั้น หลักสูตรที่ใช้สอนระดับชั้นอนุบาลจะเป็นการผสมผสานระหว่างหลักสูตร Early Years Foundation Stage (EFYS) ของประเทศอังกฤษ กับแนวทาง Reggio Emilia Approach ที่คิดค้นในประเทศอิตาลี
โดย Early Years Foundation Stage (EYFS) คือ หลักสูตรการเรียนรู้ผ่านการเล่นเพื่อให้เกิดการพัฒนาการเรียนรู้และทักษะพื้นฐาน 7 ด้าน ได้แก่
1. Communication and Language คือการที่เด็กๆ สามารถใช้ภาษาเพื่อสื่อสารความรู้สึกนึกคิด หรือความต้องการของตัวเองได้ และสามารถรับฟัง หรือสื่อสารเพื่อทำความเข้าใจสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวได้
2. Physical Development พัฒนาการด้านร่างกายที่เหมาะสมตามวัย
3. Personal, Social and Emotional Development พัฒนาการด้านอารมณ์ บุคลิกภาพ และการเข้าสังคม การสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่น
4. Literacy การอ่านออกเขียนได้
5. Mathematics คณิตศาสตร์และการคิดคำนวน
6. Understanding the World การเข้าใจสิ่งรอบตัว
7. Expressive Arts and Design ศิลปะ ความคิดสร้างสรรค์ และจินตนาการ
ขณะที่ Reggio Emilia Approach คือ การเรียนการสอนที่เน้นให้เด็กเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ โดยหลักการนี้เชื่อว่า
1. เด็กแต่ละคนมีศักยภาพ จังหวะในการเรียนรู้ และมีความสนใจแตกต่างกัน ดังนั้นครูจะคอยสำรวจเด็กอย่างใกล้ชิดว่าพวกเขาสนใจอะไร จากนั้นก็จะออกแบบการเรียนรู้ให้เป็นไปตามแนวทางที่เด็กสนใจและชื่นชอบ
2. เด็กจะเรียนรู้ได้ดีที่สุดผ่านปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมรอบตัว ผู้คนและประสบการณ์ที่ได้จากการทำกิจกรรมต่างๆ
3. การสื่อสารมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเด็กที่ต้องยิ่งส่งเสริมให้พวกเขามีทักษะในการสื่อสารตั้งแต่ยังเล็ก
4. สภาพแวดล้อมรอบตัวเด็ก เปรียบเสมือนกับครูที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการ เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์การเรียน สภาพแวดล้อมในห้องเรียนและนอกห้องเรียน ธรรมชาติ ต้นไม้ใบหญ้า อากาศ มีผลกับพัฒนาการของเด็กทุกอย่าง การจัดวางสิ่งของ ให้เด็กได้หยิบจับอย่างอิสระและปลอดภัย อุปกรณ์ของที่เหมาะสมกับช่วงวัยก็ช่วยส่งเสริมทักษะหลายด้าน เด็กจะเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาค้นพบ
5. ครูไม่ใช่ผู้ที่คอยออกคำสั่ง แต่ครูคือผู้ชี้นำแนวทางและก็เป็นผู้เรียนรู้ควบคู่ไปกับเด็กเช่นกัน เรียกได้ว่าเป็นคู่หูในการเรียนรู้ของเด็ก
นอกเหนือจากการผสม 2 หลักสูตรดังกล่าวที่ว่านี้ ทางโรงเรียนยังมีโซนและกิจกรรมต่างๆ ที่น่าสนใจแก่การเรียนรู้สำหรับเด็กๆ อาทิ
Forest School ซึ่งเป็นแนวทางการเรียนรู้ที่รับมาจากประเทศแถบสแกนดิเวียและได้รับความนิยมอย่างมากสำหรับการนำมาใช้ในโรงเรียนหลักสูตรอังกฤษ โดย Forest School เป็นการเรียนรู้นอกห้องเรียนที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ ให้เด็กๆ ได้สัมผัสกับต้นไม้ ใบหญ้า ดิน และสิ่งต่างๆ จากธรรมชาติได้โดยตรง ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนให้เด็กๆ เติบโตอย่างรอบด้าน ผ่านการเล่น การสำรวจ และการฝึกความกล้าทำสิ่งใหม่ๆ ในสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติมีความผูกพันกับสิ่งแวดล้อม
กิจกรรม Massage In School สอนให้เด็กเข้าใจถึง personal boundaries หรือขอบเขตส่วนบุคคล และการให้อนุญาตในเรื่องส่วนตัว (consent) โดยเฉพาะการแตะต้องผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งช่วยให้เด็กเรียนรู้เรื่อง respect และเข้าใจพฤติกรรมที่เหมาะสม โดยกิจกรรมนี้จะจัดขึ้นระหว่างเด็กกับเด็กเท่านั้น
กิจกรรม Tree Climbing คือกิจกรรมกลางแจ้งที่ช่วยพัฒนาทักษะทางกายภาพและกระบวนการคิด เด็กจะได้พัฒนาความแข็งแรง ประสานร่างกาย และเรียนรู้บทเรียนเรื่องความปลอดภัยในการประเมินความเสี่ยงในการชีวิตประจำวัน (risk assessment) อีกด้วย
ทั้งนี้ ทางหลักสูตรอังกฤษของโรงเรียนยังมีการประยุกต์ใช้ด้วยการปรับการเรียนการสอนบางส่วนให้สอดคล้องกับบริบทของวัฒนธรรมและประเทศไทย เช่น หลักสูตรของอังกฤษขนานแท้จะสอนวิชาภูมิศาสตร์ให้เด็กๆ ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่มีความเชื่อมโยงเกี่ยวพันกับแม่น้ำเทมส์ ส่วนของไทยจะเป็นการเรียนรู้ผ่านแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นต้น ต่อเนื่องไปถึงการสอนให้เด็กๆ รู้จักขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม และประเพณีต่างๆ ของไทยได้เป็นอย่างดี เช่น พิธีไหว้ครู วันสงกรานต์ และวันลอยกระทง ขณะที่เรื่องของภาษานั้น ทางซิตี้แคมปัส ยังมีการสอนภาษาจีนกลาง (Mandarin) เป็นภาคบังคับ ให้เด็กๆ ได้เรียนพูด อ่าน เขียน ทั้งหมดถึง 3 ภาษา อังกฤษ, ไทย และจีน ได้เป็นอย่างดี นับตั้งแต่ระดับชั้น EY1 ในขณะที่สาขาริเวอร์ไซด์แคมปัสจะเริ่มสอนภาษาจีนกลางให้แก่เด็กๆ นับตั้งแต่ชั้น Year 3 ขึ้นไป
จุดเด่นของโชรส์เบอรีที่ผู้ปกครองเลือกส่งลูกเรียน
นอกเหนือจากเรื่องของหลักสูตรการเรียนการสอนสไตล์อังกฤษขนานแท้ที่ได้รับการยอมรับถึงคุณภาพมาตรฐานจากทั่วโลก โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรีกรุงเทพ ซิตี้แคมปัส ยังมีความโดดเด่นในหลายๆ ด้าน ที่ทำให้เหล่าบรรดาผู้ปกครองที่มีกำลังจ่ายเลือกตัดสินใจให้ลูกๆ ได้เข้าศึกษาในโรงเรียนนี้ ได้แก่
ทำเลที่ตั้ง ซึ่งทางโรงเรียนมีการทำวิจัยเก็บข้อมูลมาก่อน โดยการตั้งอยู่ในย่านใจกลางเมืองที่เดินทางสะดวกไปมาได้ง่าย ตอบโจทย์เหล่าบรรดาผู้ปกครองที่พักอาศัยอยู่ในโซนใจกลางเมืองหรือต้องทำงานอยู่ในย่านสุขุมวิท พระรามเก้า ตลอดจนพื้นที่อื่นๆ ในละแวกใกล้เคียง และแม้ว่าจะมีโรงเรียน Nursery หรือโรงเรียนระดับประถมราวๆ 20 แห่งในย่านนี้ แต่มีโรงเรียนนานาชาติอยู่ประมาณ 7-10 แห่ง ซึ่งทางโรงเรียนโชรส์เบอรี กรุงเทพ ซิตี้แคมปัส ถือเป็นแห่งเดียวที่มีหลักสูตรภาษาอังกฤษล้วนๆ ในแบบที่เหล่าพ่อแม่ต้องการ
ดีไซน์การออกแบบ ซิตี้แคมปัสแห่งนี้ถือเป็นโรงเรียนสำหรับเด็กเล็กที่มี Design การออกแบบในรูปแบบ purpose-built facility นับตั้งแต่ตัวอาคาร ห้องเรียน ตลอดจนสนามหญ้า หรืสถานที่สำหรับทำกิจกรรมต่างๆ ที่เหมาะสมและปลอดภัยกับสรีระของเด็กในแต่ละช่วงวัยได้เป็นอย่างดี ยกตัวอย่าง เช่น บริเวณโซน Early Years Hub ของเด็กๆ ชั้นอนุบาลที่เพิ่งทำการขยายต่อเติมขึ้นมาใหม่จะมีศูนย์รวมตรงกลางที่ไม่ได้เป็นระเบียงทางเดินกั้นระหว่างห้องเรียนต่างๆ เหมือนโรงเรียนทั่วๆ ไป อีกทั้งทุกห้องเรียนยังสามารถเชื่อมต่อกับสวนกลางแจ้งด้านนอกได้เพื่อให้เด็กๆ มีพื้นที่การสำรวจหรือเรียนรู้และได้เล่นอย่างเป็นอิสระแบบไม่มีการตีกรอบแบบ free flow classrooms
จำนวนครูเหมาะสมกับนักเรียน หากมีการเปรียบเทียบระหว่างจำนวนครูผู้ดูแลสำหรับเด็กเล็กๆ ในระดับ Nursery ของซิตี้แคมปัสกับโรงเรียนอื่นๆ จะเห็นได้ว่า สัดส่วนของครูที่นี่ จะมีครูประจำ 1 คน ผู้ช่วยครู 2 คน และพี่เลี้ยงเด็กอีก 1 คน รวมเป็น 4 คน สำหรับชั้น Nursery (เด็กอายุ 2 ขวบ) จึงช่วยสร้างความอุ่นใจให้เหล่าบรรดาพ่อแม่ได้เป็นอย่างดี
เรียนจบที่นี่เรียนต่อที่ริเวอร์ไซด์ได้ทันที การที่เด็กๆ ได้เข้าเรียนที่ซิตี้แคมปัสแห่งนี้ โดยหลังจากเรียนจบในระดับประถมศึกษาสามารถเข้าเรียนต่อในระดับชั้นมัธยมที่สาขาริเวอร์ไซด์แคมปัสได้ทันที ถือเป็น 1 ในเหตุผลหลักที่เหล่าบรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองต่างเลือกให้บุตรหลานมาเรียนที่นี่ โดยจากสถิติที่ผ่านมา เด็กนักเรียนราว 99% ที่เรียนจบชั้นประถมศึกษาจะเลือกไปเรียนต่อชั้นมัธยมที่ริเวอร์ไซด์ทันที ส่วนอีก 1% ที่เหลือคือผู้ปกครองเลือกส่งลูกไปเรียนต่อที่อังกฤษ
บริหารบุคลากรอย่างมีประสิทธิภาพ
ปัจจุบันทางซิตี้แคมปัสมีจำนวนนักเรียนโดยประมาณ 550 คน แบ่งเป็นสัดส่วน นักเรียนไทย 70% และนักเรียนต่างชาติ 30% ด้านครูผู้สอนโดยหลักจะประกอบไปด้วยครูผู้เชี่ยวชาญจากประเทศอังกฤษ 94%, ครูชาวอเมริกันและยุโรปสำหรับวิชาเฉพาะทาง 2% และครูผู้พูดภาษาจีนกลางและไทยอีก 2% ซึ่งในส่วนของจำนวนนักเรียนในแต่ละชั้นเรียนจะแบ่งสัดส่วนให้เหล่าคุณครูรวมถึงผู้ช่วยครูและพี่เลี้ยงเด็กได้อย่างเหมาะสมเพื่อให้เกิดการดูแลได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพมากที่สุด
o ชั้น Nursery = นักเรียน 12 คน ครู 1 คน ผู้ช่วยครู 2 คน พี่เลี้ยงเด็ก 1 คน
o ชั้น Early Years 1 = นักเรียน 15 คน ครู 1 คน ผู้ช่วยครู 2 คน ต่อห้อง
o ชั้น Early Years 2 = นักเรียน 17 คน ครู 1 คน ผู้ช่วยครู 2 คน ต่อห้อง
o ชั้น Year 1 - 2 = นักเรียน 20 คน ครู 1 คน ผู้ช่วยครู 1 คน ต่อห้อง
o ชั้น Year 3-6 = นักเรียน 22 คน ครู 1 คน ผู้ช่วยครู 1 คน ต่อห้อง
อแมนดา ซึ่งเป็นครูใหญ่ของโรงเรียนบอกว่า "ทีมผู้บริหารของโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี ซิตี้แคมปัส มีทั้งหมด 6 คน ซึ่งแต่ละคนล้วนแล้วแต่มีประสบการณ์ด้านการเรียนการสอนรวมถึงการบริหารมาเป็นอย่างดี เห็นได้จากตัวเลขของทีมบริหาร 4 คน ที่มีประสบการณ์ด้านการสอนรวมกันมากเกินกว่า 100 ปี ดังนั้นจึงสามารถเชื่อมั่นในประสิทธิภาพที่ทีมงานหลักของเราจะถ่ายทอดข้อมูลส่งต่อไปยังระดับทีมงานอื่นๆ รวมถึงเหล่าคุณครูที่ให้เป็นไปตามแนวทางที่วางไว้ได้สำเร็จ นอกจากนี้ จากตัวเลขในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าเรามีทีมงานบุคลากรที่เลือกทำงานอยู่กับซิตี้แคมปัสมาอย่างเหนียวแน่นถึง 95% ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลขที่สะท้อนแนวทางการทำงานและวัฒนธรรมภายในองค์กรเชิงบวกได้เป็นอย่างดี"
ด้าน แคธเทอรีน ซึ่งเป็นผู้ช่วยครูใหญ่ฝ่ายเด็กอนุบาลและประถมต้น ยังกล่าวเสริมด้วยว่า "ในฐานะที่เป็นหนึ่งในทีมผู้บริหารระดับสูง ทุกคนทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับครูผู้สอนและเหล่าพนักงานภายในองค์กรได้เป็นอย่างดี ต่อเนื่องไปถึงความร่วมมือต่างๆ ระหว่างบุคลากรในโรงเรียนและผู้ปกครองของเด็กเพื่อช่วยกันส่งเสริมพัฒนาการของเด็กอย่างเต็มความสามารถ ซึ่งการคัดเลือกครูและครูผู้ช่วยจะใช้หลักเกณฑ์เดียวกันแบบที่ประเทศอังกฤษ โดยครูจะต้องมีประสบการณ์ด้านการสอนเป็นอย่างน้อย 3 ปีขึ้นไป แต่ส่วนใหญ่บุคลากรครูและครูผู้ช่วยของโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรีกรุงเทพ ซิตี้แคมปัส จะมีประสบการ์ณมากกว่า 8 ขึ้นไป จึงแสดงให้เห็นถึงคุณภาพของความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด"
อย่างไรก็ตาม ทางผู้บริหารของโรงเรียนทั้ง 2 ท่านยังบอกอีกด้วยว่า ในปี 2023 ที่ผ่านมา ทางโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรีกรุงเทพ ซิตี้แคมปัส มีการจัดสัมมนาที่มีครูจากกว่า 50 โรงเรียนทั่วเอเชียมาศึกษาดูงาน FOBISIA Best Practise in Early Years ที่โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรีกรุงเทพ ซิตี้แคมปัส เพื่อเป็นการแบ่งปันข้อมูลความรู้ หลักการเรียนการสอน หลักการปฏิบัติ หลักการบริหารโรงเรียนและหลักสูตรสำหรับการเรียนของเด็กเล็กโดยเฉพาะ ให้กับคณะครูจากโรงเรียนต่างๆ ทั่วเอเชีย สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าโรงเรียนมีความพร้อมทั้งคุณภาพและศักยภาพในระดับนานาชาติอย่างแท้จริง ซึ่งในปีนี้โรงเรียนไม่เพียงแต่ให้ FOBISIA Best Practise in Early Years มีการรับรู้แค่ในแวดวงอาจารย์เท่านั้น เพราะยังมีการถ่ายทอด Best Practices เหล่านี้ไปสู่ผู้ปกครองโดยตรงอีกด้วย
หมายเหตุ: FOBISIA คือ Federation of British International Schools in Asia หรือ สหพันธ์โรงเรียนนานาชาติอังกฤษแห่งเอเชีย ที่โรงเรียนนานาชาติหลักสูตรอังกฤษทั่วเอเชียหลายแห่งต่างเป็นสมาชิก โดย FOBISIA ส่วนใหญ่จะจัดการแข่งขันกีฬาหรือทางวิชาการอื่นๆ ให้เด็กนักเรียน รวมถึงจัดงานสัมนาให้กับบุคคลากรทางการศึกษาที่เป็นสมาชิก
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : เด่นหล้ากรุ๊ป ลงทุน 600 ล้านบาท ขยาย DLTS International School ตอบโจทย์ รร.นานาชาติสายวิชาการ
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine