ผลสำรวจเผย คนไทยใช้ AI เยอะ แต่ด้อยประสิทธิภาพ! ทักษะยังห่างมาตรฐานโลก แม้ครองแชมป์โครงสร้างดิจิทัลดีสุดในอาเซียน

ผลสำรวจเผย คนไทยใช้ AI เยอะ แต่ด้อยประสิทธิภาพ! ทักษะยังห่างมาตรฐานโลก แม้ครองแชมป์โครงสร้างดิจิทัลดีสุดในอาเซียน

ศูนย์วิจัย DEIIT ม.หอการค้าไทย เผยผลสำรวจ “ดัชนีการเปลี่ยนผ่านดิจิทัลของประเทศไทย” ชี้ชัดคนไทยใช้ AI เยอะแต่ยังไม่ Productive! ซ้ำทักษะ AI ยังห่างมาตรฐานโลก แม้ครองแชมป์โครงสร้างดิจิทัลดีสุดในอาเซียน


    อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า จากผลสำรวจ “ดัชนีการเปลี่ยนผ่านดิจิทัลของประเทศไทย” พบว่า ไทยจะเป็นแหล่งดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมดิจิทัลในอนาคตได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยกำหนดการลงทุน ได้แก่ ภูมิศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียนซึ่งนับเป็นจุดแข็ง อัตราการขยายตัวการตอบรับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลก็อยู่ในระดับสูง โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ทันสมัย ระบบน้ำและระบบไฟฟ้าที่สนับสนุนดาต้าเซ็นเตอร์

    “เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ช่วยเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) ของอุตสาหกรรม และ AI จะช่วยลดชั่วโมงการทำงาน จากเดิม 5-6 วันต่อสัปดาห์ เหลือ 3-4 วันต่อสัปดาห์ สามารถแทนที่แรงงานมนุษย์ได้เกือบทุกประเภทภายใน 20-30 ปีข้างหน้า ดังนั้นรัฐบาลต้องออกแบบเศรษฐกิจแบบหลายมิติ เพื่อดูแลแรงงานมนุษย์ที่ได้รับผลกระทบจากการทดแทนของ AI” อนุสรณ์ กล่าว



    อนุสรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนั้น ศักยภาพของ AI สามารถเพิ่มผลิตภาพของแรงงานได้ถึง 30-80% โดยมีบทบาทสำคัญหลายประการ ได้แก่ ลดการทำงานซ้ำซ้อน เพิ่มความเร็วการผลิต, วิเคราะห์ข้อมูลเรียลไทม์เพื่อจัดสรรทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ, คาดการณ์แนวโน้มตลาดในด้านอุปสงค์ รวมถึงสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ด้วย Generative AI

    ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัลฯได้ทำการสำรวจข้อมูลจากประชาชนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป จำนวน 871 คน ทั่วทั้ง 6 ภูมิภาค โดยวัดศักยภาพดิจิทัลผ่าน 6 มิติหลัก ได้แก่ การเข้าถึงเทคโนโลยี ทักษะและการยอมรับ การพัฒนาตนเองด้านดิจิทัลและ AI การใช้บริการภาครัฐดิจิทัล ผลลัพธ์จากการใช้เทคโนโลยี และผลิตภาพจากการใช้ AI

    อนุสรณ์ เผยว่าจากผลสำรวจทำให้เห็นภาพความขัดแย้งที่น่าสนใจ ประเทศไทยเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลสูงมากอยู่ในระดับ 80.76 คะแนน ซึ่งใกล้เคียงค่าเฉลี่ยประเทศชั้นนำในสหภาพยุโรปที่ 80-90 คะแนน และสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 70 คะแนน รวมทั้งสูงกว่าประเทศอาเซียนขนาดใหญ่ทุกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นมาเลเซีย (74.8) เวียดนาม (66.9) และอินโดนีเซีย (60.3)



    “ข้อมูลชี้ชัดว่าการเข้าถึงอุปกรณ์และอินเทอร์เน็ต ไม่ใช่อุปสรรคสำหรับประเทศไทย ประชาชนส่วนใหญ่มีสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์ดิจิทัล รวมถึงอินเทอร์เน็ตที่มีคุณภาพพอสมควร แต่ปัญหาที่แท้จริงเรายังใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ไม่เต็มประสิทธิภาพ” อนุสรณ์ ย้ำ


ทักษะดิจิทัล AI ของคนไทยต่ำกว่ามาตรฐานโลก

    อนุสรณ์ กล่าวว่าในทางตรงกันข้ามคะแนนด้านทักษะดิจิทัลอยู่ที่เพียง 44.04 คะแนน ซึ่งอยู่ในระดับ ‘ปานกลางค่อนต่ำ’ เมื่อเทียบกับมาตรฐานสากล ขณะที่การพัฒนาตนเองด้านดิจิทัลและ AI มีคะแนนเพียง 35.46 ถือว่าต่ำมาก

    ข้อมูลที่น่าสนใจพบว่า ประชาชนไทยพัฒนาทักษะดิจิทัลผ่านการเรียนรู้ด้วยตนเองได้คะแนนสูงถึง 64.91 ซึ่งสูงกว่าการเรียนรู้แบบเป็นทางการ (20.61) มากกว่า 3 เท่า แสดงให้เห็นว่าคนไทยพัฒนาทักษะผ่านยูทูบ ติ๊กต็อก และแพลตฟอร์มออนไลน์มากกว่าเรียนในระบบสถาบัน



    นอกจากนี้ ยังพบว่าคนไทยใช้ AI เพื่อจัดการงานด้านเอกสารมากกว่าในเชิงธุรกิจ ทำให้ไทยยังไม่เข้าสู่ AI Economy อย่างแท้จริง คะแนนรวมการใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพของคนไทยอยู่ที่ 48.08 นับว่าไทยเป็นประเทศที่ใช้ AI มากพอสมควรแต่ยังขาดประสิทธิภาพ

    ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัลฯ ให้ข้อเสนอไว้ว่า ประเทศไทยควรปรับทิศทางนโยบายจาก Digital Access ไปสู่ Digital Capability โดยเร่งพัฒนา 4 ด้าน ได้แก่

    1. AI for Productivity – ส่งเสริมให้ประชาชนและธุรกิจใช้ AI เพื่อสร้างมูลค่า ไม่ใช่แค่ใช้งานทั่วไป

    2. AI for SMEs – สนับสนุนให้ SME นำ AI มาใช้เพิ่มผลิตภาพและขีดความสามารถในการแข่งขัน

    3. AI Upskilling แบบเป็นระบบ – พัฒนาหลักสูตร AI Literacy ที่เป็นมาตรฐานให้ทั่วถึง

    4. สร้าง Ecosystem – จัดทำนโยบายสนับสนุน เช่น tax incentives, AI sandbox, SME AI Coaching เพื่อกระตุ้นการใช้ AI อย่างจริงจัง

    “ไทยเข้าสู่ยุคดิจิทัลแล้ว แต่ยังไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เต็มที่จุดแข็งของเราคือความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ดีที่สุดในอาเซียน และความสนใจเรียนรู้ AI ที่สูงมาก แต่จุดอ่อนคือการนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งในระดับบุคคลและธุรกิจ หากเราแก้ไขช่องว่างเหล่านี้ได้ ไทยจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาคได้อย่างแท้จริง” อนุสรณ์ กล่าว


คาดเศรษฐกิจโลกขยายตัว 3-3.1%

    ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัลฯ คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกในปีหน้าจะมีการขยายตัวอยู่ในระดับ 3-3.1% ซึ่งสอดคล้องกับการพยากรณ์ของ IMF และยังคาดการณ์ว่าประเทศพัฒนาแล้ว (Advance economy) อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจจะอยู่ประมาณ 1.5-1.6% สำหรับประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) คาดว่าเติบโตราว 4-4.2%

    โดยมีปัจจัยเสี่ยงที่เป็นตัวขับเคลื่อน ได้แก่ ความตึงเครียดทางการค้า, ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดทั่วโลก, ปัญหาหนี้สาธารณะ, วิกฤตหนี้สิน, ทิศทางดอกเบี้ย, ความเชื่อถือต่อเงินดอลลาร์สหรัฐฯ รวมถึงพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ แต่โอกาสเติบโตในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะอาเซียนยังเติบโตเร็วกว่าค่าเฉลี่ยของโลก

    ในขณะที่โอกาสในการลงทุนด้าน AI และพลังงานสะอาดเติบโตในอัตราเร่งขึ้น ส่วนการค้าโลกจะชะลอตัวในปีหน้า แต่การขยายตัวของปริมาณการค้าโลกนั้นดีกว่าที่คาดในปีนี้ อันเป็นผลมาจากการเร่งการนำเข้าสินค้าไปยังสหรัฐฯ ก่อนการขึ้นภาษีนำเข้า (front-loaded imports) ทำให้อุปสงค์สินค้าที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เช่น เซมิคอนดักเตอร์ อุปกรณ์โทรคมนาคม รวมทั้งเศรษฐกิจเกิดใหม่ มีการเติบโตสูงทางการค้าในสัญญาณบวก

    ด้านเทคโนโลยี AI และการลงทุนด้านดิจิทัลถูกมองว่าเป็นส่วนขับเคลื่อนการค้าในระยะยาว ขณะที่องค์การการค้าโลกประเมินว่า การค้าระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น 3.4-3.7% ภายในปี 2040 หากเกิดการใช้ AI และดิจิทัลอย่างทั่วถึง GDP โลกจะเพิ่มขึ้นถึง 12-13%

    อนุสรณ์ อธิบายว่าการแตกขั้วของโลกาภิวัตน์ทำให้ห่วงโซ่อุปทานแบ่งออกเป็น 2 ข้างชัดเจน ระหว่าง US Global Supply Chain และ China Global Supply Chain เดิมห่วงโซ่อุปทานกระจายอยู่ทั่วโลก แต่ความขัดแย้งระหว่างจีนและสหรัฐฯ ทำให้หลายประเทศหันกลับมาสร้างฐานใกล้ตลาดมากขึ้น และมีบางส่วนย้ายกลับประเทศ เช่น สหรัฐฯ และยุโรปย้ายการผลิตบางส่วนจากจีนไปเวียดนาม อินโดนีเซีย และไทย เพื่อกระจายความเสี่ยง รวมถึงเกิดการตั้งฐานผลิตประเทศในอาเซียนที่เป็นกลางและเปิดกว้างทางเศรษฐกิจ โดยจะทำให้ประเทศโดยรอบในภูมิภาคได้ประโยชน์จากความขัดแย้งด้วย

    ทั้งนี้ คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2569 จะขยายตัวประมาณ 1.4-2.0% เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับสำนักวิจัยส่วนใหญ่ที่มองว่ามีโอกาสเติบโตในลักษณะ “ชะลอตัวลง” เนื่องจากอุปสงค์ในประเทศฟื้นตัวช้า การบริโภคและการลงทุนยังคงอ่อนแอ การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐยังโตต่ำในช่วงเปลี่ยนแปลงรัฐบาล

    สำหรับผลการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลยังเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจไทยปีหน้า หากสามารถจัดตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ และได้รัฐบาลที่มีเจตจำนงในการปฏิรูปและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างชัดเจน จะส่งผลบวกต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว รวมทั้งยกระดับความสามารถในการแข่งขัน สร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม มูลค่าการส่งออกชะลอตัวลงคือสิ่งที่เกิดขึ้นแน่นอนในปีหน้า หลังจากปีนี้ได้เร่งการนำเข้า ส่วนภาคท่องเที่ยวมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ปริมาณของนักท่องเที่ยวต่างชาติคาดว่าอยู่ที่ประมาณ 35 ล้านคน รายได้ 1.5 ล้านล้านบาท

    อนุสรณ์ชี้ว่า มูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลในปีนี้จะเติบโตประมาณ 2.70 ล้านล้านบาท มีอัตราการขยายตัว 5% ในขณะที่ปี 2569 คาดว่าจะเติบโต 4.2% ชะลอจากปี 2568 ที่เติบโต 5% โดยจะครอบคลุม 8 หมวดอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ บริการดิจิทัล โทรคมนาคม ฮาร์ดแวร์ อุปกรณ์อัจฉริยะ ซอฟต์แวร์ ดิจิทัลคอนเทนต์ อุตสาหกรรมท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมบริการและอื่นๆ ซึ่งมีมูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

    ส่วนมูลค่าตลาดดิจิทัลปี 2569 คาดว่าอยู่ที่ประมาณ 5.6 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 29-30% ของ GDP ประเทศไทย ส่วนการบริโภคดิจิทัลก็โตต่อเนื่องเช่นกัน




ภาพ ศูนย์วิจัย DEIIT


เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ปี 2026 ‘ไปรษณีย์ไทย’ ก้าวสู่ดิจิทัล ลุยทำ Super App จัดการจุดรับของได้ ให้ใช้ ChatGPT ติดตามพัสดุได้

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine