ท่องเที่ยวทั่วโลกฟื้นตัวต่อเนื่อง ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกมาแรง ญี่ปุ่นครองจุดหมายปลายทางอันดับ 1 - Forbes Thailand

ท่องเที่ยวทั่วโลกฟื้นตัวต่อเนื่อง ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกมาแรง ญี่ปุ่นครองจุดหมายปลายทางอันดับ 1

FORBES THAILAND / ADMIN
24 May 2024 | 02:30 PM
READ 2100

ภาคการท่องเที่ยวทั่วโลกกำลังฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในปี 2567 เห็นได้จากการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคที่ยังคงแข็งแกร่งและการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยว โดยเมื่อไม่นานมานี้ มาสเตอร์การ์ดได้เผยแพร่รายงานประจำปี ฉบับล่าสุด หัวข้อ "Travel Trends 2024: Breaking Boundaries" จากสถาบันวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์มาสเตอร์การ์ด (Mastercard Economics Institute: MEI) ที่เผยให้เห็นถึงข้อมูลเชิงลึกที่เปลี่ยนแปลงไปของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวใน 74 ประเทศทั่วโลก รวมถึง 13 ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก


    แม้ว่าอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศจะมีความผันผวนและระดับความสามารถในการใช้จ่ายของผู้บริโภคมีความแตกต่างกัน กลับพบว่าการท่องเที่ยวทั่วโลกกำลังค่อยๆ เติบโตขึ้น โดยรายงาน MEI ระบุว่า จากข้อมูลการใช้จ่ายถึงไตรมาสแรกของปี 2567 อุตสาหกรรมเรือสำราญและสายการบินครองสถิติยอดการใช้จ่ายสูงสุดถึง 9 วันเมื่อเทียบจากจำนวนวันที่มียอดใช้จ่ายสูงสุด 10 วันล่าสุด ซึ่งชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มการใช้จ่ายในการเดินทางท่องเที่ยวที่จะยังคงเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคทั่วโลกให้ความสำคัญกับประสบการณ์ที่มีความหมายและมีการจัดสรรงบประมาณที่มากขึ้นสำหรับการเดินทาง

    รายงาน MEI มีการอ้างอิงจากการวิเคราะห์ข้อมูลทางธุรกรรมของมาสเตอร์การ์ดที่ถูกรวบรวมโดยไม่ระบุชื่อ รวมถึงการรวบรวมจาก Mastercard SpendingPulse และแหล่งข้อมูลบุคคลที่สาม โดยรายงานฉบับนี้ ได้เจาะลึกไปถึงแนวโน้มการท่องเที่ยวที่สำคัญในปี 2567 และแนวโน้มในอนาคต โดยมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่โดดเด่น ดังนี้


ท่องเที่ยวเอเชีย-แปซิฟิกมาแรง

    จุดหมายปลายทางในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกำลังเป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก โดยจะเห็นได้จากครึ่งหนึ่งของจุดหมายปลายทางยอดนิยม 10 อันดับแรกอยู่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตอกย้ำให้เห็นถึงความนิยมในหมู่นักเดินทาง การวัดผลและจัดอันดับดังกล่าวอ้างอิงจากข้อมูลการเปลี่ยนแปลงส่วนแบ่งธุรกรรมการท่องเที่ยวในระยะเวลา 12 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งสิ้นสุดในเดือนมีนาคม 2567


​    ญี่ปุ่นขึ้นแท่นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวอันดับ 1 ของโลก (อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 0.9% เทียบกับ ไอร์แลนด์ที่ 0.4%) แดนอาทิย์อุทัยแห่งนี้ได้ให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวจากนานาชาติถึง 3,081,600 คนในเดือนมีนาคม 2567 นับเป็นสถิติสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา แม้ยังไม่เริ่มไฮซีซัน ด้วยแรงหนุนจากค่าเงินเยนที่อ่อนตัว (ต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2533) โดยคาดว่าอัตราการแลกเปลี่ยนที่ดีเช่นนี้ จะช่วยให้ญี่ปุ่นยังคงเป็นผู้นำด้านการท่องเที่ยวตลอดปี 2567 ซึ่งเป็นผลดีต่อธุรกิจของญี่ปุ่นที่ให้บริการแก่นักท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในท้องถิ่นโดยรวม

    ด้านการเดินทางในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกำลังฟื้นตัว โดยเฉพาะการเดินทางภายในภูมิภาคไปยังประเทศใกล้เคียง ตัวอย่างเช่น จุดหมายปลายทางยอดนิยมในช่วงฤดูร้อนนี้สำหรับนักท่องเที่ยวจากประเทศสิงคโปร์ ได้แก่ กรุงเทพฯ กัวลาลัมเปอร์ และเพิร์ธ

    การท่องเที่ยวของไทยจะฟื้นตัวเต็มที่ในปี 2567 จากข้อมูลของสถาบันวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์มาสเตอร์การ์ด (MEI) พบว่า จำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเยือนทั้งหมดขณะนี้ต่ำกว่าปี 2562 เพียง 7% ซึ่งเป็นระดับก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-193 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปริมาณเที่ยวบินขาเข้าจากเอเชียใต้และภูมิภาคอาเซียนนั้นสูงกว่าช่วงปี 2562 เกือบ 20%

    เดวิด แมนน์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ ประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก มาสเตอร์การ์ด กล่าวว่า “ลูกค้าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีความต้องการและเต็มใจที่จะออกเดินทางท่องเที่ยว รวมทั้งยังมีความเชี่ยวชาญมากขึ้นเพื่อให้มั่นใจว่าเขาจะได้รับประสบการณ์ที่คุ้มค่าและดีที่สุดจากการเดินทาง”

    แมนน์ชี้ว่า สำหรับหน่วยงานการท่องเที่ยว ร้านค้า รวมถึงภาคบริการ อาหารและเครื่องดื่ม สิ่งที่สำคัญคือต้นทุน ในเศรษฐกิจปัจจุบัน อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและอำนาจการใช้จ่ายมีบทบาทสำคัญในการประกอบการตัดใจของนักเดินทางในการวางแผนการเดินทาง ซึ่งหมายความว่าธุรกิจที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติจำเป็นที่จะต้องประเมินกลยุทธ์ของตนใหม่และปรับกลยุทธ์เพื่อดึงดูดนักเดินทาง



    อย่างไรก็ตาม แม้ญี่ปุ่นจะครองตำแหน่งประเทศจุดหมายปลายทางยอดนิยมในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา แต่คาดว่ามิวนิกจะขึ้นแท่นอันดับ 1 สำหรับการเป็นจุดหมายปลายทางประจำภาคฤดูร้อน (อ้างอิงจากการจองเที่ยวบิน) เนื่องจากมิวนิกได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปประจำปี 2567 ที่จะจัดขึ้นในเดือนมิถุนายน โดยโตเกียวก็ตีคู่กันมาติดๆ ในขณะที่บาลี (อันดับที่ 6) และกรุงเทพฯ (อันดับที่ 7) ก็ติดอันดับหนึ่งใน 10 เมืองยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวต้องการเดินทางไปเที่ยวเพิ่มขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า


จีนฟื้นตัว อินเดียทุบสถิติ

    ด้านยักษ์ใหญ่อย่างจีน กระแสการท่องเที่ยวเปลี่ยนไปเนื่องจากนักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวนมากต่างให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวภายในประเทศมากกว่าการท่องเที่ยวต่างประเทศ โดยสถานการณ์การท่องเที่ยวภายในประเทศของจีนแผ่นดินใหญ่เป็นไปในทางบวก เนื่องจากจำนวนผู้โดยสารทางอากาศได้กลับสู่ระดับปกติอย่างสมบูรณ์ และสูงกว่าปี 2562 ซึ่งส่งผลดีต่อธุรกิจในท้องถิ่น


    ในขณะเดียวกัน จำนวนการท่องเที่ยวระหว่างประเทศที่เดินทางออกจากจีนแผ่นดินใหญ่ก็กำลังฟื้นตัว และปัจจุบันปริมาณนักท่องเที่ยวขาออกอยู่ที่ 80.3% ของปี 2562 และคาดว่าจะมีการเติบโตขึ้นในปี 2567

    ส่วนอินเดียซึ่งเป็นคลื่นลูกใหม่ด้านเศรษฐกิจ มีจำนวนนักท่องเที่ยวอินเดียเดินทางไปยังประเทศต่างๆ พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ใน 3 เดือนแรกของปี 2567 มีผู้โดยสารทั้งหมด 97 ล้านคน เดินทางผ่านสนามบินในอินเดีย ซึ่งหากเปรียบเทียบกับ เมื่อ 10 ปีก่อน ต้องใช้ช่วงเวลาถึงหนึ่งปีเต็มถึงจะแตะตัวเลขเดียวกับจำนวนผู้โดยสารในปัจจุบัน

    การเดินทางของผู้โดยสารภายในประเทศเพิ่มขึ้นถึง 21% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2562 ในขณะที่การเดินทางข้ามพรมแดนเพิ่มขึ้น 4% ข้อมูล ณ เดือนมีนาคม 2567

    เมื่อเปรียบเทียบระหว่างปี 2562 และปี 2567 จำนวนนักท่องเที่ยวชาวอินเดียที่เดินทางไปยังประเทศยอดนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จำนวนผู้เดินทางไปญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 53% ไปเวียดนามเพิ่มขึ้น 248% และไปยังสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น 59%


นักท่องเที่ยวเน้นประสบการณ์

    ผู้บริโภคทั่วโลกยังคงให้ความสำคัญกับประสบการณ์มากกว่าสินค้า ซึ่งเทรนด์นี้ถือเป็นเทรนด์ที่กำลังเกิดขึ้นในภาคการท่องเที่ยว โดยการใช้จ่ายเพื่อซื้อประสบการณ์และความบันเทิงในยามค่ำคืนคิดเป็น 12% ของยอดขายการท่องเที่ยว ถือเป็นจุดสูงสุดในรอบอย่างน้อยห้าปี ในขณะเดียวกันการค้าปลีกมีอัตราการฟื้นตัวที่ช้าลง

    นักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียเป็นนักท่องเที่ยวที่ใช้จ่ายด้านประสบการณ์และความบันเทิงยามค่ำคืนมากที่สุดในโลก ในขณะที่นักท่องเที่ยวจากจีนแผ่นดินใหญ่ต่างก็แสวงหาประสบการณ์มากขึ้นเช่นกัน


    และแม้ถึงแม้นักท่องเที่ยวในปัจจุบันชื่นชอบบรรยากาศสบายๆ แต่ก็ยอมที่จะใช้จ่ายไปกับร้านค้าหรูและการรับประทานอาหารแบบ fine dining หากสิ่งที่ได้รับคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป ด้านยอดขายสินค้าแฟชั่นสุดหรูก็มีอัตราเพิ่มขึ้นในทุกปี โดยในญี่ปุ่นมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง 152% เช่นเดียวกับฮ่องกงที่เติบโต 208% ณ สิ้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมาเทียบกับปีก่อนหน้า

    สาเหตุที่การเติบโตในฮ่องกงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเปิดประเทศที่ล่าช้าในปี 2566 ในขณะที่การเติบโตของประเทศญี่ปุ่นเกิดจากการอ่อนตัวลงของค่าเงินเยนและการท่องเที่ยวขาเข้าที่แข็งแกร่ง

    นอกจากนี้ปัจจุบันร้านอาหารแบบไฟน์ไดนิ่ง (Fine dining) ในประเทศออสเตรเลีย อินเดีย และไทย เติบโตขึ้นอย่างมาก ทำให้การรับประทานอาหารแบบพรีเมียมได้รับความนิยมมากกว่าการรับประทานอาหารแบบทั่วไป ซึ่งแตกต่างจากประเทศอื่นๆ ที่ยังคงเป็นที่นิยมอยู่

    แมนน์กล่าวเสริมว่า “ท่ามกลางภูมิทัศน์การท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไปและการเดินทางที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดปี 2567 ทางสถาบันวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์มาสเตอร์การ์ด (MEI) ยังได้ช่วยเหลือภาคธุรกิจและผู้กำหนดนโยบายในการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจมหภาค รวมถึงการให้ข้อมูลเชิงลึกที่เป็นกลยุทธ์ที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ในระดับประเทศ ประเภท และบริษัท นอกเหนือจากการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เป็นไปได้และผลกระทบที่เจอ”


เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ศูนย์วิจัยกสิกรฯ เผยปี 67 ‘คนไทยเที่ยวญี่ปุ่น’ อาจแซง ‘ญี่ปุ่นเที่ยวไทย’ เป็นปีที่ 2

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine