Netflix ปิดดีลมูลค่า 5 พันล้านเหรียญ พา WWE ขึ้นแพลตฟอร์ม เปิดศักราชใหม่ของการดูกีฬา - Forbes Thailand

Netflix ปิดดีลมูลค่า 5 พันล้านเหรียญ พา WWE ขึ้นแพลตฟอร์ม เปิดศักราชใหม่ของการดูกีฬา

อีกหนึ่งดีลสะเทือนวงการสตรีมมิง เมื่อ Netflix ประกาศจับมือกับ TKO Group Holdings ผู้ดูแล WWE ซึ่งเป็นบริษัทกีฬาบันเทิงรายใหญ่ของสหรัฐอเมริกา แน่นอนว่าข้อตกลงครั้งนี้ทำให้ Netflix ได้สิทธิ์ถ่ายทอดสด “Raw” รายการมวยปล้ำอันโด่งดัง โดยจะเริ่มต้นตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2025 เป็นต้นไป


    เมื่อวันอังคารที่ 23 มกราคม 2024 ที่ผ่านมา แพลตฟอร์มสตรีมมิง Netflix ได้ประกาศดีลมูลค่ากว่า 5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ กับ TKO Group Holdings ซึ่งทำให้แพลตฟอร์มสตรีมมิงรายนี้สามารถออกอากาศ Raw รายการมวยปล้ำยอดนิยมของ WWE ในสหรัฐอเมริกา แคนาดา สหราชอาณาจักร และละตินอเมริกา โดยจะมีการเพิ่มประเทศและภูมิภาคอื่นๆ เข้ามาในลำดับถัดไป

    นอกเหนือจาก Raw แล้ว Netflix ยังจะได้สิทธิ์สตรีมรายการอื่นๆ ทั้งหมดของ WWE เช่น SmackDown, WrestleMania, NXT เป็นต้น ซึ่งดีลดังกล่าวนี้จะมีอายุ 10 ปี เมื่อครบ 5 ปี Netflix จะมีสิทธิ์ยกเลิกสัญญา หรือต่อสัญญาไปอีก 10 ปี

    หลังข่าวนี้เผยแพร่ออกไป มูลค่าหุ้นของ TKO ก็พุ่งสูงกว่า 15% ตามมาด้วยประกาศว่านักแสดงหนุ่มซึ่งเป็นอดีตนักมวยปล้ำดาวเด่นอย่าง Dwayne Johnson หรือ The Rock จะก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในคณะกรรมการบริษัท ส่วนหุ้นของ Netflix มีมูลค่าเพิ่มขึ้นราว 1% ก่อนทางบริษัทจะประกาศผลประกอบการไตรมาส 4 หลังปิดตลาดเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา


Netflix เดินหน้าสร้างการเติบโต

    แม้หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผ่านพ้นไป ทำให้ยอดผู้สมัครสมาชิกแพลตฟอร์มสตรีมมิงชะลอตัวลง แต่การแข่งขันในวงการสตรีมมิงกลับยิ่งดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ ผู้ให้บริการแต่ละรายต่างงัดกลยุทธ์ต่างๆ มาใช้เพื่อดึงดูดผู้ชม รวมถึงสร้างผลกำไรให้เติบโต

    ในกรณีของ Netflix เมื่อปีที่ผ่านมาก็มีการปรับราคาขึ้น ออกนโยบายห้ามไม่ให้มีการแบ่งปันรหัสผ่าน ผลักดันให้ผู้ชมแต่ละคนเปิดบัญชีของตัวเอง รวมถึงการนำโฆษณาเข้ามาในแพลตฟอร์มของบางประเทศ ซึ่งก็ได้ผลลัพธ์อันเป็นที่น่าพึงพอใจ

    จากรายงานผลประกอบการไตรมาส 4 ประจำปี 2023 ที่เพิ่งเผยแพร่ออกมา Netflix มียอดสมาชิกเพิ่มขึ้นเกินคาดที่ 13.1 ล้านบัญชีทั่วโลก รวมทั้งหมดเป็น 260.28 ล้านบัญชี รายได้เติบโต 12% เทียบกับปีก่อนหน้า กำไรสุทธิ 938 ล้านเหรียญ หรือ 2.11 เหรียญต่อหุ้น

    การเซ็นสัญญากับ TKO ในครั้งนี้นอกจากเพื่อสร้างการเติบโตแล้ว ยังเป็นก้าวสำคัญในการนำรายการถ่ายทอดสดเข้ามายังแพลตฟอร์ม ซึ่งอันที่จริงก่อนหน้านี้ Netflix ก็เคยทดลองออกอากาศรายการถ่ายทอดสดมาแล้วในปีที่ผ่านมา และรายการกีฬาก็ได้เสียงตอบรับที่ดี ทว่า WWE ถือเป็นดีลใหญ่ครั้งแรก


สัญญาพลิกเกม

    “WWE เป็นกีฬาบันเทิงที่ยอดเยี่ยม พร้อมฐานแฟนคลับที่ใหญ่โต มั่นคง และมีใจรัก ซึ่งเราเชื่อว่าความร่วมมือในระยะยาวครั้งนี้จะเอื้อคุณประโยชน์แก่สมาชิกของเรา” Netflix เผยผ่านทางจดหมายถึงผู้ถือหุ้นประจำไตรมาส 4

    ไม่เพียงแค่แพลตฟอร์มสตรีมมิงรายใหญ่ที่ตั้งความหวังไว้กับสัญญาครั้งนี้ ฝั่ง TKO ก็เช่นกัน

    “นี่นับเป็นการพลิกเกมครั้งสำคัญเลย” Mark Shapiro ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ TKO กล่าว “เมื่อคุณลองมองย้อนกลับไปในหน้าประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของสื่อกีฬา บทเริ่มต้นใหม่ๆ มักขับเคลื่อนโดยกระบวนทัศน์อันแปลกใหม่ ESPN และ Turner นำ NFL ออกอากาศผ่านเคเบิลในปี 1987 ส่วน Rupert Murdoch ก็นำฟุตบอลออกอากาศทาง Fox ในปี 1994”

    เขาเน้นย้ำว่า “เมื่อประวัติศาสตร์ใหม่ถูกเขียนขึ้น การที่ Raw ออกอากาศบน Netflix ก็จะถือเป็นบทเริ่มต้นหนึ่ง”

    จากรายงานข่าวโดย CNBC ก่อนหน้านี้ TKO เคยคุยข้อตกลงกับบริษัทสื่อรายอื่นมาก่อน แต่ก็ลงเอยที่ Netflix ซึ่ง Shapiro ให้เหตุผลว่าเพราะเป็นแพลตฟอร์มใหญ่ที่ให้บริการไปทั่วโลก ก้าวหน้ากว่าผู้เล่นอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับ WWE

    Raw รายการยอดนิยมจาก WWE ถือเป็นรายการยอดนิยมของสหรัฐฯ ดึงดูดผู้ชมกว่า 17.5 ล้านคนต่อปี Shapiro เล่าว่าได้เห็น Amazon สตรีมรายการ Thursday Night Football อย่างราบรื่น และแพลตฟอร์ม Peacock ก็ประสบความสำเร็จในการสตรีมรอบชิงชนะเลิศของกีฬาอเมริกันฟุตบอล National Football Leage ทำให้เขามีความมั่นใจในการพา Raw ขึ้นไปบน Netflix เช่นกัน


แหล่งที่มา:

Netflix to Become New Home of WWE 'Raw' Beginning 2025

Netflix to stream WWE’s Raw starting next year in its biggest jump into live entertainment

Netflix places $5bn bet on live streaming with WWE Raw deal

Netflix Packs on More Than 13 Million Subscribers in Q4, Well Above Expectations


เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : การ์ทเนอร์ชี้ยอดขายพีซีทั่วโลก Q4/66 พลิกกลับมาโตเล็กน้อย 0.3% แต่ทั้งปียังลดลง 14.8%

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine