ลอรีอัล กรุ๊ป เผย ผลงานไตรมาส 3/2025 โตต่อเนื่อง 4.9% พร้อมเปิดแผนกลยุทธ์ร่วมกับ Kering กลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่สินค้า Luxury

ลอรีอัล กรุ๊ป เผย ผลงานไตรมาส 3/2025 โตต่อเนื่อง 4.9% พร้อมเปิดแผนกลยุทธ์ร่วมกับ Kering กลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่สินค้า Luxury

FORBES THAILAND / ADMIN
03 Nov 2025 | 01:29 PM
READ 61

ลอรีอัล กรุ๊ป รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2025 ธุรกิจโตต่อเนื่องเพิ่มขึ้น 4.9% พร้อมเปิดตัวข้อตกลงความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ครั้งสำคัญในระยะยาวกับเคอริง (Kering) กลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่ด้านสินค้า Luxury สุดหรู ด้วยการเข้าซื้อกิจการ “ครีด” (Creed) แบรนด์น้ำหอมชั้นสูง รวมถึงข้อตกลงการอนุญาตสิทธิ์ในผลิตภัณฑ์ความงามและน้ำหอมระยะ 50 ปี สำหรับแบรนด์ดัง อย่าง Gucci, Bottega Veneta และ Balenciaga เป็นต้น


​    ลอรีอัล กรุ๊ป แถลงผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2568 ด้วยการเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยเพิ่มขึ้น 4.9%1 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วที่ ขับเคลื่อนโดยการขยายตัวอย่างทั่วถึงในทุกภูมิภาคและครอบคลุมทุกแผนก บริษัทมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในตลาดหลักอย่างสหรัฐอเมริกาและจีนแผ่นดินใหญ่ ความคึกคักอย่างต่อเนื่องในยุโรป และแข็งแกร่งโดดเด่นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ (SAPMENA-SSA) การเติบโตในทุกแผนกได้รับแรงหนุนจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่และแผนกระตุ้นความงาม (Beauty Stimulus Plan) ซึ่งมีส่วนในการกระตุ้นตลาดความงามทั่วโลกให้กลับมาคึกคัก โดยลอรีอัล กรุ๊ปยังคงทำผลงานได้เหนือตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่องทางออนไลน์ แรงหนุนเชิงบวกนี้สร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับบริษัทในการเข้าสู่ไตรมาสสุดท้าย โดยแสดงความมั่นใจว่าจะทำผลงานได้เหนือตลาดความงามทั่วโลก และประสบความสำเร็จทั้งการเติบโตของยอดขายและผลกำไรได้อีกปีหนึ่ง

    ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเป็นผู้นำในธุรกิจความงามกลุ่มลักชูรีให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ลอรีอัล กรุ๊ป ได้ผนึกความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระยะยาวกับเคอริง (Kering) และเป็นอีกก้าวสำคัญในการกำหนดนิยามของภูมิทัศน์ความงามและการดูสุขภาพระดับหรูขึ้นใหม่ ข้อตกลงสำคัญนี้ประกอบด้วยการเข้าซื้อกิจการ “ครีด” (Creed) แบรนด์น้ำหอมชั้นสูงซึ่งได้รับการยกย่องทั่วโลก และข้อตกลงการอนุญาตสิทธิ์ในผลิตภัณฑ์ความงามและน้ำหอมระยะ 50 ปี สำหรับแบรนด์ระดับไอคอนิกของเคอริง ได้แก่ กุชชี่ (Gucci), บอตเตก้า เวเนต้า (Bottega Veneta) และ บาเลนเซียกา (Balenciaga) นอกเหนือจากความงามแล้ว การเป็นพันธมิตรในครั้งนี้ยังครอบคลุมการร่วมทุนแบบ 50:50  เพื่อสำรวจโอกาสทางธุรกิจที่ใหม่ๆ ในจุดที่ความหรูหรา การดูแลสุขภาพ และการมีอายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพ (Longevity) มาบรรจบกัน โดยอาศัยนวัตกรรมของลอรีอัลและความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในลูกค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์หรูหราของเคอริง ความร่วมมือนี้พร้อมที่จะส่งให้ลอรีอัลเป็นผู้เล่นชั้นนำในตลาดน้ำหอมเฉพาะกลุ่ม (niche fragrance) ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และเสริมความแข็งแกร่งในฐานะบริษัทความงามหรูหราชั้นนำของโลก

    “เราเพิ่งประกาศการเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับเคอริง ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัทหรูหราที่มีความคิดสร้างสรรค์และมีวิสัยทัศน์มากที่สุดในโลก การเข้าซื้อกิจการครีดจะทำให้เราเป็นหนึ่งในผู้เล่นชั้นนำในกลุ่มน้ำหอมเฉพาะกลุ่ม (niche fragrances) ผมยังเห็นศักยภาพมหาศาลสำหรับการเติบโตของข้อตกลงอนุญาตผลิตภัณฑ์ความงามและน้ำหอมของกุชชี่, บอตเตก้า เวเนต้า และ บาเลนเซียกา ซึ่งล้วนเป็นแบรนด์แฟชั่นชั้นสูงที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง การเป็นพันธมิตรครั้งนี้จะเสริมความแข็งแกร่งของเราในฐานะบริษัทความงามหรูหราชั้นนำของโลก ขณะที่เรากำลังเข้าสู่ไตรมาสสุดท้ายของปี ผมมั่นใจว่าเราจะยังคงทำผลงานได้ดีกว่าตลาดความงามทั่วโลก และประสบความสำเร็จทั้งการเติบโตของยอดขายและผลกำไรได้อีกปีหนึ่ง” Nicolas Hieronimus ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของลอรีอัล กรุ๊ป กล่าว


สรุปผลการดำเนินงานตามแผนก2

แผนกผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพโต +7.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

    แผนกผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพยังคงทำผลงานได้ดีเหนือตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมระดับพรีเมียมที่ยังคงคึกคัก โดยได้รับแรงหนุนจากแบรนด์หลักทั้งหมด: เคเรสตาส (Kérastase) สร้างผลงานโดดเด่นอีกครั้งด้วยความสำเร็จจากการเปิดตัว กลอส แอบโซลู’ (Gloss Absolu) ผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมยังคงนำเสนอนวัตกรรมที่แข็งแกร่ง อาทิ การเปิดตัว มาจิเรล’ (Majirel) โดยลอรีอัล โปรเฟสชั่นแนล (L'Oréal Professionnel) อีกครั้งที่ประสบความสำเร็จ ในเดือนกันยายน ลอรีอัลได้สรุปการเข้าซื้อกิจการคัลเลอร์ วาว’ (Color Wow) หนึ่งในแบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมระดับมืออาชีพล้ำสมัยที่เติบโตเร็วที่สุดของโลก เพื่อเสริมสร้างฐานที่มั่นในกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและจัดแต่งทรงผมระดับพรีเมียมให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น


แผนกผลิตภัณฑ์อุปโภคโต +3.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

    ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมยังคงเป็นผู้นำด้วยการเติบโตในระดับเกือบสองหลัก ด้วยแรงสนับสนุนจากการเปิดตัวลอรีอัล ปารีส เอลแซฟ ไกลโคลิค กลอส’ (L'Oréal Paris Glycolic Gloss) ทั่วโลก เครื่องสำอางเร่งตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ทำผลงานได้เหนือตลาดในประเทศส่วนใหญ่ ด้วยนวัตกรรมที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง อาทิ เมย์เบลลีน โคลอสซอล บับเบิล มาสคาร่า’ (Maybelline Colossal Bubble Mascara) และ ลอรีอัล ปารีส โฟซ์ บราว’ (L'Oréal Paris Faux Brow) ผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมยังคงแข็งแกร่ง ด้วยความสำเร็จอย่างต่อเนื่องของ คัลเลอร์ เซนเซชั่น’ (Color Sensation) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่เข้าถึงง่ายของการ์นิเย่ (Garnier) ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวได้รับแรงผลักจากการเปิดตัว ลอรีอัล ปารีส รีไวทัลลิฟท์ อาย แบ็ก อินสแทนท์ อิเรเซอร์’  (L'Oréal Paris Revitalift Eye Bag Instant Eraser) และความแข็งแกร่งของการ์นิเย่ ในตลาดเกิดใหม่ แบรนด์ระดับโลกทั้งสี่แบรนด์มีการเติบโต นำโดย นิกซ์ โปรเฟสชั่นแนล เมคอัพ (NYX Professional Makeup) และ ลอรีอัล ปารีส ในขณะที่แบรนด์เครื่องสำอางเกาหลีชั้นนำระดับโลกอย่างทรีซีอี (3CE) ก็ประสบความสำเร็จในการขยายตลาดในโซนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวจากเกาหลีที่เพิ่งเข้าซื้อกิจการอย่างดอกเตอร์ จี (Dr.G) ก็ทำผลงานได้ดีเช่นกัน


แผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูงโต +2.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

    แผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูงยังคงเสริมสร้างความเป็นผู้นำในตลาดน้ำหอม ซึ่งขับเคลื่อนโดยผลิตภัณฑ์หลักเช่น บอร์น อิน โรม่า ดอนน่า และ อัวโม (Born in Roma Donna and Uomo)  โดย วาเลนติโน่ (Valentino) ลิเบรอ (Libre)  และ มายเซลฟ์ (MYSLF) โดย อีฟส์ แซงต์ โลรองต์ (Yves Saint Laurent)  รวมถึง เอ็มโพริโอ อาร์มานี่ (Emporio Armani) และต่อยอดความแข็งแกร่งด้วยเปิดตัวที่ยอดเยี่ยมของสองผลิตภัณฑ์ล่าสุด - น้ำหอมผู้ชาย พาราไดม์ (Paradigme) โดยพราด้า (Prada) และน้ำหอมผู้หญิง มิวทีน (Miutine) โดยมิวมิว (MiuMiu) - รวมถึงผลลัพธ์ที่น่าประทับใจของคอลเล็กชันน้ำหอมโดยเอสอป (Aesop Fragrance Collection) 

    เครื่องสำอางยังคงได้รับแรงขับเคลื่อนจากความสำเร็จอย่างต่อเนื่องของแบรนด์แฟชั่นชั้นสูง (Couture brand) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อีฟส์ แซงต์ โลรองต์ และ พราด้า แฟรนไชส์น้ำหอมอิโดล (Idôle) ของ ลังโคม (Lancôme) ก็มีผลงานที่แข็งแกร่ง ขณะที่ เมดิค เอท (Medik8) แบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวจากสหราชอาณาจักร ซึ่งเข้าเป็นส่วนหนึ่งของแผนกในเดือนกันยายน ยังคงมีการเติบโตในระดับเลขสองหลักอย่างแข็งแกร่ง



แผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอางโต +3.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

    ลา โรช-โพเซย์ (La Roche-Posay) ทำผลงานได้เหนือตลาดอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยแรงหนุนจากผลิตภัณฑ์หลักเช่นซิคาพลาสต์ (Cicaplast) รวมถึงความสำเร็จอย่างต่อเนื่องของ เมลาซิล (Melasyl)  ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแก้ปัญหาเม็ดสีผิวส่วนเกินเฉพาะจุด สกินซูติคัลส์  (SkinCeuticals) มีการเติบโตในระดับเลขสองหลัก และมีการเติบโตในทุกภูมิภาค ทั้งยังเป็นแบรนด์เวชสำอางอันดับหนึ่งในจีน โดยได้รับแรงหนุนจากความสำเร็จอย่างต่อเนื่องของนวัตกรรม พี-ทีอ๊อกซ์ (P-Tiox) และ เอชเอ อินเทนซิฟายเอร์ (HA Intensifier) เซราวี (CeraVe) ยังคงทำผลงานได้ดีกว่าตลาดในตลาดเกิดใหม่และจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งมีการเติบโตที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ ในสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นตลาดอันดับหนึ่ง เซราวีกำลังเร่งตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยได้รับแรงหนุนจากผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและนวัตกรรมล่าสุดในกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหลัก วิชี่ (Vichy) ได้รับแรงขับเคลื่อนจากการเติบโตที่โดดเด่นของเดอร์คอส (Dercos) ซึ่งได้กลายเป็นแฟรนไชส์อันดับหนึ่งของแบรนด์ รวมทั้งความสำเร็จของนวัตกรรมต่อต้านริ้วรอย คอลลาเจน ซิกทีน (Collagen16)



สรุปตามภูมิภาค2

ยุโรป - ยอดขายเติบโต 3.6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว 

อเมริกาเหนือ - ยอดขายเติบโต 1.8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว 

ละตินอเมริกา - ยอดขายเติบโต 8.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว 

เอเชียเหนือ - ยอดขายเพิ่มขึ้น 0.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว 

SAPMENA - SSA - ยอดขายเติบโต +11.0% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว 

    ภูมิภาค SAPMENA (เอเชียแปซิฟิกใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ) การเติบโตเป็นไปอย่างทั่วถึง จากทุกแผนกและประเภทผลิตภัณฑ์ โดยได้รับแรงขับเคลื่อนทั้งจากการผสมผสานผลิตภัณฑ์และปริมาณ สอดคล้องกับกลยุทธ์การขยายฐานลูกค้าใหม่ของภูมิภาค 

    แผนกเวชสำอางมีการเติบโตคึกคักเป็นพิเศษ จากความสำเร็จของทั้ง ลา โรช-โพเซย์ และ เซราวี เช่นเดียวกับแผนกผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพที่ขับเคลื่อนโดย เคเรสตาส ผลงานของแผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูงมาจากพลังจากแบรนด์แฟชั่นชั้นสูง เช่นเดียวกับที่ลอรีอัล ปารีส ขับเคลื่อนการเติบโตของแผนกอุปโภค 

    ประเทศที่มีการเติบโตสูงสุดได้แก่เวียดนาม, กลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับ (GCC), ไทย, อินเดีย และกลุ่มออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ทั่วทั้งภูมิภาค ออนไลน์ยังคงเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนการเติบโตโดยเฉพาะอย่างยิ่งในอินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ GCC แอฟริกาใต้สะฮารา (SSA) มีการเติบโตในระดับเลขเกือบสองหลัก ซึ่งได้รับแรงขับเคลื่อนทั้งจากการผสมผสานผลิตภัณฑ์และปริมาณ การเติบโตเป็นไปอย่างทั่วถึงในทุกแผนก โดยเฉพาะในแผนกผลิตภัณฑ์อุปโภคและเวชสำอาง



ภาพ : ลอรีอัล กรุ๊ป




เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : Amazon สั่นสะเทือน! เตรียมปลดพนักงานกว่า 30,000 คน ครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์บริษัท

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine