แฟนคลับคงไม่ต้องสงสัยว่าทำไม Rihanna ถึงไม่มีเวลาทำเพลงในอัลบัมใหม่แต่ใช้ทุกนาทีไปกับการขายเครื่องสำอาง Fenty Beauty ของเธอ เพราะแค่เพียงข้ามปีจาก 2018 สู่ 2019 นักร้องผิวสีคนดังสร้างความร่ำรวยเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าตัว และแหล่งเงินหลักของเธอไม่ได้มาจากเพลงหรือทัวร์คอนเสิร์ตเหมือนกับศิลปินคนอื่น
Rihanna ขึ้นสู่อันดับที่ 37 บนทำเนียบ
“สตรีที่สร้างความมั่งคั่งด้วยตนเองและรวยที่สุดในสหรัฐอเมริกา ปี 2019” โดยเธอมีสินทรัพย์สุทธิ 600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ณ วันที่ 3 มิถุนายน 2019)
มูลค่าทรัพย์สินของนักร้องวัย 31 ปีผู้นี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาเพียง 11 เดือน จากที่เธอเคยติดอันดับที่ 84 ของลิสท์เซเลปที่รวยที่สุดในโลกแห่งปี 2018 ซึ่ง ณ เดือนกรกฎาคม 2018 ที่มีการประเมินในลิสท์นี้ เธอยังมีทรัพย์สินเพียง 210 ล้านเหรียญเท่านั้น
ตัวเลข 600 ล้านเหรียญในกระเป๋าเงินของ Rihanna ยังส่งให้เธอเป็น
นักร้องหญิงที่รวยที่สุดในสหรัฐอเมริกา แซงหน้าทั้ง Taylor Swift, Beyonce, Celine Dion หรือกระทั่ง Madonna
ความร่ำรวยของเธอพุ่งขึ้นหลังจากที่เธอเริ่มสร้างแบรนด์เครื่องสำอางของตนเองร่วมกับพาร์ทเนอร์
LVMH เครือธุรกิจแฟชั่นยักษ์ใหญ่ ภายใต้แบรนด์
Fenty Beauty ที่เปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือนกันยายน 2017 และกวาดรายได้ไป 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตั้งแต่สัปดาห์แรกๆ ที่ออกวางจำหน่าย
ด้วยพลังความโด่งดังของตัวเธอที่มีผู้ติดตามบัญชี Instagram ถึง 71 ล้านคน การประชาสัมพันธ์แบรนด์ใหม่จึงไม่ใช่เรื่องยากและไม่ต้องเปลืองต้นทุนทางการตลาดอีกด้วย (คล้ายกับที่
Kylie Jenner ทำ เธอแปลงยอดผู้ติดตามเป็นทรัพย์สินในชั่วพริบตาจากการโปรโมตเครื่องสำอางของตัวเองทางโซเชียลมีเดีย)
อย่างไรก็ตาม การตลาดจากชื่อเสียงไม่ใช่สิ่งเดียวที่ Fenty Beauty มี เจ้าของเครื่องสำอางแบรนด์นี้ยังสร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่ฮือฮา นั่นคือรองพื้นที่มีเฉดสีแตกต่างถึง 40 สีให้เลือก เมื่อผลิตภัณฑ์เป็นที่ยอมรับ Fenty Beauty จึงมีที่ทางในตลาด และส่งให้ชื่อ Fenty นำไปใช้ collaboration กับแบรนด์อื่นได้อีก เช่น ชุดชั้นในแบรนด์
Savage X Fenty หรือรองเท้า
Fenty X Puma
หลังปิดบัญชี 15 เดือนแรกของ Fenty Beauty แบรนด์เครื่องสำอางนี้ทำรายได้ไปแล้ว 570 ล้านเหรียญ และได้รับการประเมินมูลค่าบริษัทสูงถึง 3 พันล้านเหรียญ โดย Forbes ประเมินว่า Rihanna ถือหุ้นในบริษัทนี้ 15% ทำให้ธุรกิจเครื่องสำอางกลายเป็นแหล่งเงินทองหลักของเธอมากยิ่งกว่าผลงานดนตรีไปแล้ว (ทั้งนี้ LVMH ถือหุ้นอยู่ 50%)
ล่าสุดในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เธอยังตัดสินใจออกจำหน่ายไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่กับ LVMH อีกครั้ง เป็นไลน์เสื้อผ้า รองเท้า และเครื่องประดับไฮเอนด์แบรนด์ Fenty ที่ทำให้
Rihanna เป็นผู้หญิงผิวสีคนแรกในสหรัฐฯ ที่ได้เป็นเจ้าของห้องเสื้อสุดหรูระดับสากล ฟาก LVMH เจ้าของแบรนด์ดังอย่าง Louis Vuitton, Dior, Givenchy การลงทุนครั้งนี้ถือเป็นการเปิดแบรนด์ใหม่เอี่ยมเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี
“(Fenty) จะดิสรัปวงการมากเท่าที่จะเป็นไปได้ แบรนด์นี้ไม่ใช่แบรนด์ดั้งเดิม จะไม่มีโชว์เดินแบบ มันจะเป็นวิถีทางใหม่ในการทำสิ่งต่างๆ เพราะฉันเชื่อว่านี่จะเป็นที่ที่แฟชั่นจะเดินทางไปในไม่ช้า”
Rihannaให้สัมภาษณ์ไว้กับ
New York Times เกี่ยวกับห้องเสื้อของเธอ และเธอได้ดิสรัปมันจริงๆ โดยไม่มีการเปิดร้านออฟไลน์แม้แต่ร้านเดียว เธอจำหน่ายเสื้อผ้าไฮเอนด์ (ยกตัวอย่างมินิเดรสของแบรนด์จำหน่ายในราคา 25,110 บาท) ผ่านเว็บไซต์ออนไลน์
Fenty.com เท่านั้น
“ฉันเป็นคนยุคมิลเลนเนียล ฉันเกลียดการได้เห็นเสื้อผ้าบางชิ้นบนรันเวย์แล้วก็ต้องรอ (ที่จะซื้อ) ไปอีก 6 เดือน” เธอกล่าว
ถึงแม้นักร้องดังชาวบาร์บาโดสจะยุ่งอยู่กับการสร้างธุรกิจแค่ไหน แต่ในที่สุดเธอก็ยังไม่ทิ้งแฟนเพลง เพราะ RiRi เพิ่งโพสต์ Instagram Story เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2019 สื่อนัยว่าเธอเข้าห้องอัดแล้วจริงๆ (หลังปล่อยให้รอกันมามากกว่า 3 ปี)
น่าติดตามว่าอันดับความร่ำรวยของเธอจะพุ่งไปอีกแค่ไหนในปีหน้าเมื่อเธอมีทั้งธุรกิจแฟชั่น-เครื่องสำอางในมือ ผนวกกับอัลบัมใหม่ที่จะออกมาในเร็วๆ นี้
ที่มา