Ford ประกาศ ลดพนักงาน 7,000 คนทั่วโลก หรือคิดเป็นราว 10% ซึ่ง Ford ระบุว่านี่เป็นหนึ่งในมาตรการลดค่าใช้จ่าย ซึ่งจะช่วยประหยัดเงินได้ปีละ 600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลกจากสหรัฐฯ ระบุว่า Ford ประกาศ ลดพนักงาน โดยเริ่มแจ้งถึงมาตรการดังกล่าวให้พนักงานทราบ และกระบวนการปลดคนจะเสร็จสมบูรณ์ภายในสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ โดยในจำนวนนี้เป็นการปลดคนราว 2,400 ตำแหน่งในอเมริกาเหนือ และประมาณ 1,500 ตำแหน่งเป็นการปลดโดยสมัครใจ
Jim Hackett ซีอีโอ Ford ระบุในประกาศที่แจ้งกับพนักงานว่า นอกเหนือจากความต้องการลดต้นทุน ความเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นความพยายามเพื่อลดระบบราชการภายในบริษัท และปรับให้โครงสร้างการบริหารงานเป็นแบบราบยิ่งขึ้น
การปรับลดพนักงานของ Ford ในครั้งนี้คล้ายกับการ ลดพนักงาน ของ General Motors ที่ประกาศเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา โดย General Motors นั้นหั่นพนักงานออฟฟิศและพนักงานสัญญาจ้างออกไป 8,000 คน และประกาศปิดโรงงาน 5 แห่งในอเมริกาเหนืออีกด้วย
- คลิกอ่าน GM ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ ปลดพนักงาน 15% ปิดโรงงาน 8 แห่ง มุ่งพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า-รถยนต์ไร้คนขับ
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา Ford ปลดพนักงานมาแล้วหลายครั้ง รวมถึงการปิดโรงงาน 1 แห่งในยุโรปเมื่อเดือนมกราคม และประกาศปิดโรงงาน 3 แห่งในรัสเซียเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยคาดว่าจะต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลในการลดพนักงานหลายพันตำแหน่งทั่วโลก
ทั้งนี้ Ford กำลังเผชิญกับความท้าทายระดับโลก หลังไตรมาสสุดท้ายของปีก่อน ยอดขายในประเทศหรือในอเมริกาเหนือ ซึ่งเป็นตลาดที่แข็งแกร่งที่สุดของบริษัทนั้นทำรายได้และมีกำไรเพิ่มขึ้น แต่ยอดขายและกำไรในตลาดต่างประเทศอย่างอเมริกาใต้ เอเชีย และยุโรป กลับไม่เป็นในทิศทางเดียวกัน ซึ่งมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นให้เกิดการปรับโครงสร้างของบริษัท
แรงกดดันอย่างหนักที่ Ford ต้องเผชิญนั้นมาจากเรื่องผลกำไรที่ลดลง ขณะที่ต้นทุนบางอย่างกลับเพิ่มขึ้น เช่น เหล็กและอะลูมิเนียม ที่เพิ่มขึ้นราวปีละ 1 พันล้านเหรียญ หลังจากมีการเก็บภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าเหล่านี้ และแม้ว่าวัตถุดิบส่วนใหญ่จะมาจากในประเทศ แต่ผู้บริหารของ Ford ก็ระบุว่า ความพยายามในการปรับโครงสร้างบริษัทนั้นไม่ได้เป็นเพียงมาตรการระยะสั้นเพื่อแก้ไขปัญหาต้นทุน แต่เป็นส่วนหนึ่งของแผนระยะยาว
Ford ถือเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่รายหนึ่งของโลกที่มีมูลค่าราว 4.1 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งมากกว่าผู้ผลิตรถยนต์ที่ไม่ค่อยมีกำไรอย่าง Tesla เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และน้อยกว่า Uber ราว 40% หลัง Uber เพิ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อไม่นานมานี้
นอกจากนี้ Ford ยังต้องเผชิญกับแรงกดดันมากมายในการเตรียมตัวสำหรับอนาคต หลังผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ต่างพากันซื้อเทคโนโลยีใหม่ และวางแผนเข้าสู่โลกแห่งรถยนต์ไร้คนขับอย่างเต็มตัว รวมไปถึงบริษัทเทคโนโลยีหลายรายที่ก้าวเข้ามาเป็นคู่แข่งในตลาดรถยนต์ด้วย เช่น Tesla และ Waymo ของบริษัท Alphabet ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Google
Michelle Krebs นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Cox Automotive ระบุว่า นอกจาก Ford และ General Motors แล้ว เชื่อว่าผู้ผลิตรถยนต์ทุกรายก็กำลังมองหาแนวทางที่จะทำแบบนี้เหมือนกัน สิ่งที่น่าหนักใจคือนอกจากพวกเขาต้องหาทางประคองธุรกิจในปัจจุบันให้ได้ และพวกเขายังต้องหาเงินไว้สำหรับธุรกิจในอนาคตด้วย ซึ่งปัญหาคือไม่มีใครรู้ว่าธุรกิจในอนาคตนั้นต้องใช้เงินเท่าไร
Krebs กล่าวอีกว่า ผู้ผลิตรถยนต์หลายรายยังต้องเตรียมตัวรับมือกับยอดขายที่ลดลง รวมถึงเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวด้วย โดยยอดขายไตรมาสแรกของ Ford ทั่วโลกลดลง 14% ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มรถซีดานดั้งเดิมจากสหรัฐฯ ที่ลดลงไปมาก
ขณะที่ Ford เองก็เหมือนผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ ที่มุ่งเน้นไปที่รถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไร้คนขับ โดย Ford กำลังมองหาพันธมิตรใหม่ในการปรับโครงสร้างของธุรกิจ ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทได้ร่วมมือกับ Volkswagen ในการพัฒนาโปรดักต์ใหม่ๆ และยังประกาศลงทุน 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในบริษัท Rivian ซึ่งวางแผนเปิดตัวรถบรรทุกขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าในปีหน้า
แปลและเรียบเรียงโดย กนกวรรณ มากเมฆ / Online Content Creator ที่มา