บล.หยวนต้า กางแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยในช่วง 3-4 ปี เผยปรับแผนเพิ่มสัดส่วนรายได้จาก Multi-Product และผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายเป็น 60% จากปัจจุบันรายได้หลักมากจากฝั่งนายหน้าหลักทรัพย์ รวมถึงเพิ่มส่วนนักลงทุนสถาบัน ขณะที่ปี 2568 คาดว่า SET Index จะอยู่ที่ระดับ 1,600 จุด เพิ่มขึ้นจากปี 67 ที่คาดว่าจะอยู่ราว 1,450 จุด
นางบุญพร บริบูรณ์ส่งศิลป์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า บริษัทฯ มีแผนที่จะบำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยซึ่งปัจจุบันมีความพร้อมอยู่แล้ว สะท้อนจากรายได้และผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่แผนธุรกิจในปี 2568 จะปรับมาเพิ่มสัดส่วนรายได้จาก Multi-Product หรือผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายให้มากขึ้น ทั้งบริการ Wealth (จัดพอร์ตลงทุนให้ลูกค้า), หุ้นกู้ ไปจนถึง Depositary Receipt (DR) โดยตั้งเป้ามายเพิ่มสัดส่วนขึ้นเป็น 60%จากปัจจุบันอยู่ที่ 40% สาเหตุหลักเพราะในส่วนนี้เป็นรายได้ที่มีความยั่งยืนกว่ารายได้จากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (ปัจจุบันอยู่ที่ 60%)
นอกจากนี้ ยังรุกขยายธุรกิจด้านนักลงทุนสถาบันมากขึ้น โดยล่าสุดได้จัดงานเสาวนา “YUANTA THAILAND'S INVESTMENT INSIGHTS 2025” ภายใต้หัวข้อ “SPOTTING K-SHAPED RECOVERY” ซึ่งรวบรวมองค์กรแนวหน้าของไทยกว่า 33 บริษัท (มูลค่าตลาดรวมกันกว่า 200,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 30% ของมูลค่าตลาดในประเทศ) ถือเป็นงานที่สะท้อนถึงความพร้อมของ บล. หยวนต้า ในการขยายบริการสู่กลุ่มนักลงทุนสถาบัน ทั้งนี้ ในอนาคตตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนรายได้จากฝั่งนักลงทุนสถาบันขึ้นเป็น 10% จากปัจจุบันอยู่ที่ 5%
ขณะที่ด้านภาวะตลาดหุ้นไทย นายจารุชาติ บูชาชาติ นักกลยุทธ์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จากการคาดการณ์ของ บล. หยวนต้า ที่ประเมินการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยหรือ GDP ในปี 2567 อยู่ที่ 2.8% จึงมีเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) อยู่ที่ 1,450 จุดภายใต้สมมุติฐาน EPS ที่ 92 บาทต่อหุ้นโดยมีอัตราการเติบโต 20% เนื่องจากฐานต่ำในปีที่ผ่านมา
ขณะที่ปี 2568 คาดว่า GDP ไทยจะอยู่ที่ 3.2% จึงมีเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) อยู่ที่ 1,600 จุดภายใต้สมมุติฐาน EPS ที่ 97 บาทต่อหุ้น ซึ่งมีการเติบโต 12%
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกต่อ SET Index ในปี 2568 ได้แก่ 1) Valuation ที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต และ 2) วัฏจักรดอกเบี้ยขาลงทั่วโลกที่ช่วยหนุนเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย 3) เสถียรภาพทางการเมืองและการกระตุ้นเศรษฐกิจจากงบประมาณรัฐบาล คาดจะช่วยผลักดัน GDP โต 3.2% จาก 2.8% ในปีนี้ อีกทั้ง 4) FDI มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในกลุ่มเทคโนโลยีและนิคมอุตสาหกรรม
ขณะที่ความท้าทายหลัก ยังต้องจับตามองความเสี่ยงจากนโยบาย America First ของทรัมป์ที่อาจชะลอการลดดอกเบี้ยและทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น รวมถึงความตึงเครียดทางการค้า (Trade War) ด้านกลยุทธ์การลงทุนในปี 2568 เราแนะนำ 1) กลุ่ม Yield Play (Finance, Utilities) 2) กลุ่มที่ได้ประโยชน์จาก Trade War (Industrial Estate: AMATA, WHA, ICT, Utilities) และ 3) กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจและนโยบายภาครัฐ
นอกจากนี้ ยังมี หุ้นที่น่าสนใจในปี 2568 เช่น หุ้น SAWAD ที่มีโอกาสกลับเข้ามาใน SET 50 และอีกธีมที่น่าสนใจคือ Data Center เช่น GPSC, SYMC นอกจากนี้กลุ่ม Health Care Service เช่น BDMS, BCH ส่วนกลุ่ม Medical supply เช่น TMAN, Medeze
ภาพ: บล.หยวนต้า
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : XSpring คงเป้าหมายปี 67 ลุ้นรายได้ทะลุพันล้าน ส่วนปี 68 เดินเครื่อง ‘ICO’ 3 ดีลพร้อมลงทุนธุรกิจใหม่
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine