เมื่อ 'ทองคำ' คือ 1 ในสินทรัพย์ที่ยังคงสร้างผลตอบแทนได้ดีในภาวะที่ตลาดมีความเสี่ยงสูงนับตั้งแต่ 50 ปีก่อน ซึ่งนอกเหนือจากกลุ่มนักลงทุนและผู้บริโภครายย่อยจะนิยมซื้อเก็บสะสมไว้เพื่อเก็งกำไรแล้ว 'ธนาคารกลางจากทั่วโลก' ยังเป็นหนึ่งในนักลงทุนรายใหญ่ซื้อทองคำตุนไว้ในคลังเป็นจำนวนมากท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจผันผวนรวมถึงสงครามระหว่างประเทศ เห็นได้จากตัวเลขล่าสุดปี 2567 ที่มียอดสั่งซื้อทั้งหมดสูงถึง 1,045 ตัน แต่ทั้งนี้ ราคาทองที่พุ่งทะลุไปแตะ 3,000 เหรียญสหรัฐฯ ต่อออนซ์ นั้น คงจะต้องจับตาดูกันต่อไป ว่าปัจจัยต่างๆ จะยังเกื้อหนุนให้ราคาทรงตัวอยู่ในระดับสูงแบบนี้ไปได้นานเท่าไร...
กลายเป็นเรื่องที่น่าจับตา !!! เมื่อราคาทองคำได้พุ่งทะยานจาก 2,500 เหรียญสหรัฐฯ ต่อออนซ์ ไปแตะ 3,000 เหรียญสหรัฐฯ ต่อออนซ์ ภายในระยะเวลาเพียง 210 วัน ส่งผลให้ราคาสูงกว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วันถึงสามเท่า โดยราคาที่พุ่งสูงขึ้นดังกล่าวเกิดขึ้นในการซื้อขายระหว่างวันของช่วงเช้าวันศุกร์ที่ 14 มีนาคม และเกิดขึ้นต่อเนื่องอีกครั้งในวันจันทร์ที่ 17 มีนาคม ที่ผ่านมา และแม้ว่าราคาทองคำจากสมาคมตลาดทองคำแห่งลอนดอนที่ทำการซื้อขายช่วงบ่าย (LBMA Gold Price PM) จะยังไม่ได้พุ่งทะลุในราคาระดับนี้อย่างเป็นทางการ เพราะมีตัวเลขปิดอยู่ที่ 2,996.50 เหรียญสหรัฐฯ ต่อออนซ์ในวันจันทร์ แต่เหตุการณ์ในครั้งนี้ก็สามารถสร้างแรงดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนและสื่อมวลชนทั่วโลก
John Reade นักกลยุทธ์การตลาดอาวุโส ประจำยุโรปและเอเชีย สภาทองคำโลก (World Gold Council) ให้ความเห็นเกี่ยวกับจุดเปลี่ยนสำคัญของราคาทองคำว่า “การที่ราคาทองคำทะลุ 3,000 เหรียญสหรัฐนั้น สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยในยามที่ตลาดผันผวน จากราคา 1,000 เหรียญ ในช่วงวิกฤตการเงิน สู่ 2,000 เหรียญ ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทองคำได้พิสูจน์แล้วว่าสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีในภาวะที่ตลาดมีความเสี่ยงสูง และให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจเทียบเคียงได้กับสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ นับตั้งแต่ปีพ.ศ. 2514 หรือราวๆ 50 ปีก่อน”
ทั้งนี้ ตัวแทนของสภาทองคำโลก ยังชี้ให้เห็นด้วยว่า นับตั้งแต่ปี 2565 ราคาทองคำไม่ได้เคลื่อนไหวตามทิศทางของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ และค่าเงินเหรียญสหรัฐเหมือนในอดีต เนื่องจากธนาคารกลางทั่วโลกได้เพิ่มปริมาณการซื้อทองคำเป็น 2 เท่า ประกอบกับความต้องการลงทุนจากตลาดเกิดใหม่ที่เพิ่มสูงขึ้น
“ธนาคารกลางทั่วโลกเป็นผู้ซื้อทองคำรายใหญ่อย่างต่อเนื่องมาตลอด 15 ปีที่ผ่านมา แต่หากย้อนไปดูในช่วงสามปีก่อนหน้านี้ ปริมาณการซื้อทองคำได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก โดยมียอดซื้อมากกว่า 1,000 ตันต่อปี นับตั้งแต่ปี 2565 และล่าสุดในปี 2567 มียอดซื้อถึง 1,045 ตัน เราเชื่อว่าปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเพิ่มปริมาณขึ้นนี้ ทั้งในแง่ของการลดการพึ่งพาเงินเหรียญสหรัฐฯ การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ และความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่มีการแบ่งขั้วทางอำนาจ การซื้อทองคำของธนาคารกลางจะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนความต้องการในตลาด และส่งผลต่อทิศทางของราคาทองคำในระยะยาว"

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของนักลงทุนจากตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ก็เริ่มมีอิทธิพลต่อตลาดทองคำมากขึ้นเช่นกัน เห็นได้จากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมายังได้รับแรงหนุนจากความกังวลเกี่ยวกับนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศที่ทวีความรุนแรง ส่งผลให้นักลงทุนหันมาให้ความสนใจทองคำในฐานะเครื่องมือกระจายความเสี่ยงที่สำคัญ
“สำหรับประเด็นสำคัญที่ต้องจับตามองต่อเนื่องในขณะนี้ ก็คือ ราคาทองคำจะสามารถรักษาระดับเหนือ 3,000 เหรียญสหรัฐได้หรือไม่? แม้ว่าสถานการณ์ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่เพิ่มสูงขึ้นจะช่วยเสริมความเชื่อมั่นในตลาดทองคำก็ตาม แต่ทว่าการจะราคารักษาราคาให้อยู่ในระดับนี้ได้ จำเป็นต้องเห็นแรงซื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากนักลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากนักลงทุนในประเทศตะวันตก หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องมีการเพิ่มปริมาณการซื้อครั้งใหญ่จากกลุ่มธนาคารกลางต่อเนื่อง” John Reade กล่าวทิ้งท้าย
ภาพ : World Gold Council
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ทองพุ่ง 250 บาท! ทองคำแท่งขายออก 48,250 บาท เหตุทองโลกทำ all time high รอบใหม่
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine