ธนาคารยูโอบีเผยเทรนด์ลงทุนท่ามกลางความไม่แน่นอนทั่วโลก และเศรษฐกิจไทยไม่โตแรง แนะนำลงทุนตราสารหนี้ต้องมีปันผลเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง ฝั่งหุ้นแนะ 4 กลุ่ม ได้แก่ หุ้นใหญ่เติบโต - Healthcare - เอเชีย (เว้นญี่ปุ่น) - อาเซียน ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายปี 67 คาดแบงก์ชาติไทยขึ้นก่อนธนาคารกลางสหรัฐ
นายเอ็นริโก ทานูวิดจายา นักเศรษฐศาสตร์ Global Economics and Market Research ธนาคารยูโอบี กล่าวว่า ปี 2567 นี้เศรษฐกิจหลักในหลายประเทศจะฟื้นตัวขึ้น เช่น สหรัฐ อินเดีย จีน โดย IMF ได้ปรับเพิ่มอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของโลกที่ 3.2% (ปรับขึ้นจาก 3.1%) แต่สำหรับตลาดการการลงทุนยังมีความเสี่ยงหลายด้านทั้งความไม่แน่นอนทางการเมือง (เป็นปีที่มีการเลือกตั้งในหลายประเทศ เช่น อินเดีย สหรัฐ เม็กซิโก สภายุโรป) ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ไปจนถึงประเด็นระหว่างสหรัฐฯ และจีน
“ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ยังยืดเยื้อยิ่งกดดันและสร้างความผันผวนในตลาดเกิดใหม่ รวมถึงอาจส่งผลให้ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น (มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐที่ห้ามอิหร่านส่งออกน้ำมัน) นอกจากนี้ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อสินทรัพย์ทั่วโลก คือท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่ชะลอการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายซึ่งคาดว่าจะลากยาวออกไป และจะปรับลด 2 ครั้งในปีนี้ในช่วงเดือน ก.ย. และ พ.ย.” นายเอ็นริโก กล่าว
ทั้งนี้ ทาง UOB คาดว่าธนาคารกลางแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยฯ 2 ครั้งในปีนี้ ครั้งละ 0.25% โดยจะเริ่มก่อน Fed ในช่วง มิ.ย. และ ส.ค. โดยดอกเบี้ยฯ ของไทยคาดว่าจะเริ่มลดก่อนเพราะปัจจัยในประเทศที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวอย่างทั่วถึง ต่างจากเศรษฐกิจสหรัฐที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามทาง UOB ได้ออกประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะขยายตัวที่ 2.8% โดยมีแรงหนุนจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น การบริโภคภาคครัวเรือน การส่งออกที่ฟื้นตัว และการใช้จ่ายภาครัฐ รวมถึงมาตรการกระตุ้นทางการคลัง ซึ่งหากมีความท้าทายเกิดขึ้นคาดว่า GDP ไทยอาจลดลงสู่ระดับ 2.4-2.5% ขณะที่ปี 2568 คาดว่า GDP ไทยจะอยู่ที่ 3.0%
ขณะที่กลยุทธ์การลงทุนในปี 2567 นี้ เอเบล ลิม Head of Wealth Management Advisory and Strategy กลุ่มธนาคารยูโอบี กล่าวว่า ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น ปัจจัยหลักยังต้องติดตามอัตราดอกเบี้ยฯ ของสหรัฐที่หากยังคงอยู่ในระดับสูงส่งผลให้ตลาดตราสารหนี้มีความผันผวนสูงขึ้น ดังนั้นจึงควรลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดี และควรกระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ หลายภูมิภาค รวมถึงมองผลตอบแทนในระยะยาว
ทั้งนี้ ด้านกลยุทธ์ในการกระจายการลงทุน มองว่ามีสินทรัพย์ 4 ประเภทที่น่าสนใจในปี 2567 ได้แก่
- หุ้นเติบโตขนาดใหญ่ที่มีคุณภาพ (High Quality) เนื่องจากมีงบดุลและกระแสรายได้ที่ดี มีความได้เปรียบทางการแข่งขันและมีผลตอบแทนสม่ำเสมอซึ่งคาดการณ์ได้
- หุ้นกลุ่ม Healthcare ที่ได้รับผลดีจากกระแส AI และเติบโตดีในช่วงที่ผ่านมา และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องตามกระแสสังคมสูงวัย
- หุ้นเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) เพราะเป็นภูมิภาคที่มีประชากรมากที่สุดในโลก มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่น่าสนใจและแนวโน้มการส่งออกที่ปรับตัวดีขึ้น (ส่วนหนึ่งเพราะผลดีจาด China One Policy ที่ช่วยสนับสนุนให้ประเทศในกลุ่มนี้เป็นซัพพลายเชนซึ่งเติบโตไปพร้อมกับจีน)
- หุ้นอาเซียน ยังมีแนวโน้มการส่งออกที่ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน ขณะที่การบริโภคภาคครัวเรือนยังคงแข็งแกร่ง นอกจากนี้มูลค่าหุ้นอยู่ในระดับที่ต่ำ (ถูกกว่าภูมิภาคอื่น)
อย่างไรก็ตาม ในระยะต่อไปยังมีความเสี่ยงในการลงทุนที่ต้องจับตามอง ได้แก่ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นทั่วโลก ท่าทีของ Fed ในเรื่องอัตราดอเบี้ยนโยบายและภาวะเศรษฐกิจประเทศหลักทั่วโลก
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤษภาคม 2567 พบกับบุคคลบนปก ‘วีรพันธ์ อังสุมาลี’ นำทัพวัสดุตกแต่งรักษ์โลก ‘โฮมโปร’
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine