ttb เผย ผลกำไรปี 67 ทะลุ 2.1 หมื่นล้าน หลังบริหารต้นทุนสอดคล้องรายได้ - Forbes Thailand

ttb เผย ผลกำไรปี 67 ทะลุ 2.1 หมื่นล้าน หลังบริหารต้นทุนสอดคล้องรายได้

ttb เผยผลประกอบการปี 2567 มีกำไรสุทธิ 21,031 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 13% หลังบริหารต้นทุนสอดคล้องรายได้ มีลูกค้าของธนาคารที่เข้าร่วมโครงการรวบหนี้แล้วกว่า 37,000 ราย เพิ่มขึ้นจาก 17,000 ราย ณ สิ้นปี 2566

 

    ปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทยธนชาต หรือ ttb เผยว่า ผลการดำเนินงานในปี 2567 เป็นไปตามเป้าหมาย แม้ภาพรวมภาวะเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายนอกจะผลกระทบต่ออุตสาหกรรมธนาคารทั้งในด้านรายได้และคุณภาพสินทรัพย์ 

    โดย ttb มุ่งเน้นการบริหารจัดการด้านต้นทุนและรายได้ให้สอดคล้องกัน พร้อมทั้งดูแลคุณภาพสินทรัพย์ในเชิงรุก ควบคู่ไปกับการให้ความช่วยเหลือลูกค้าอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้นยังให้ความสำคัญกับการบริหารส่วนทุน (Capital Management) เพื่อให้การใช้ส่วนทุนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น 

    สำหรับการบริหารต้นทุน ธนาคารในความสำคัญกับ 3 ด้านหลัก ได้แก่ การบริหารต้นทุนทางการเงินผ่านการบริหารพอร์ตสินทรัพย์และหนี้สินอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การปรับโครงสร้างสินเชื่อให้มีความเหมาะสม การเติบโตของเงินฝากให้สมดุลกับแนวโน้มด้านสินเชื่อ รวมถึงการปรับกลยุทธ์พอร์ตเงินลงทุนเพื่อให้ได้รับประโยชน์ทิศทางดอกเบี้ยในตลาดเงิน


ปี 2567 มีลูกค้าโครงการรวบหนี้กว่า 37,000 ราย 

    ในปี 2567 มีลูกค้าของธนาคารที่เข้าร่วมโครงการรวบหนี้แล้วกว่า 37,000 ราย เพิ่มขึ้นจากระดับ 17,000 ราย ณ สิ้นปี 2566 เทียบเท่ากับว่าธนาคารสามารถช่วยลูกค้าลดภาระดอกเบี้ยไปได้กว่า 2,100 ล้านบาท

    ทั้งนี้ จากการดำเนินการดังกล่าว สถานการณ์ด้านคุณภาพสินทรัพย์จึงมีเสถียรภาพและเป็นไปตามเป้าหมาย สินเชื่อด้อยคุณภาพลดลง 5% จากปีก่อนหน้า และอัตราส่วนหนี้เสียลดลงมาอยู่ที่ 2.59% จาก 2.62% ในปี 2566 ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯ ลดลง 11% จากปีก่อน ถือเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยหนุนผลการดำเนินงานในปี 2567 


Due Diligence ศึกษาซื้อหุ้น บล.ธนชาต-ที ลีสซิ่ง

    ปัจจุบันธนาคารได้เข้าทำ Non-Binding MOU และอยู่ในขั้นตอนการทำ Due Diligence เพื่อพิจารณาการเข้าซื้อหุ้นในบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ธนชาตและบริษัท ที ลีสซิ่ง การดำเนินการเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของธนาคารในการสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

    สำหรับผลการดำเนินงานรายการหลักๆ ในไตรมาส 4/67 และทั้งปี 2567 มีดังนี้ สินเชื่อ ณ สิ้นไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 1,241 พันล้านบาท ชะลอลง 1% จากไตรมาส 3/67 (QoQ) และชะลอตัว 6.6% จากสิ้นปี 2566 สอดคล้องกับแนวทางการเติบโตสินเชื่ออย่างรอบคอบ

    โดยสินเชื่อกลุ่มเป้าหมายยังคงขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องตามแผนการปรับโครงสร้างสินเชื่อไปยังกลุ่มสินเชื่อรายย่อย ทั้งนี้ การลดลงของสินเชื่อรวมมีสาเหตุหลักจากการชำระคืนหนี้ของกลุ่มลูกค้าธุรกิจรายใหญ่และการชะลอตัวของสินเชื่อเช่าซื้อ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากภาวะตลาดรถยนต์ที่ยังคงหดตัว รวมถึงการบริหารหนี้เสียเชิงรุกผ่านการขายและตัดหนี้สูญ ซึ่งทำให้ยอดหนี้เสียลดลง 5% YTD

    ด้านเงินฝากไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 1,329 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.5% QoQ ตามการขยายตัวของเงินฝากกระแสรายวันและเงินฝากออมทรัพย์ แต่ชะลอลง 4.2% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ส่วนใหญ่เป็นการลดลงในกลุ่มเงินฝากต้นทุนสูง ซึ่งเป็นไปตามแผนบริหารสภาพคล่องและเพื่อให้สมดุลกับแนวโน้มการเติบโตสินเชื่อใหม่ ขณะที่เงินฝากจากลูกค้ารายย่อยยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่องตามแผน เช่น เงินฝาก ttb all free ทั้งนี้ ด้านสภาพคล่องยังคงอยู่ในระดับสูง สะท้อนได้จากอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (LDR) ซึ่งอยู่ที่ 93%

    ในไตรมาส 4/67 มีรายได้จากการดำเนินงานรวมอยู่ที่ 17,133 ล้านบาท ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอยู่ที่ 7,496 ล้านบาทในไตรมาส 4/67 รวมทั้งปี 2567 มีรายได้จากการดำเนินงานทั้งสิ้น 69,399 ล้านบาท ลดลง 2.2% เมื่อเทียบกับปี 2566 

     สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานปี 2567 อยู่ที่ 29,571 ล้านบาท ลดลง 4.9% จากปี 2566 ส่งผลให้อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ในปี 2567 อยู่ที่ 42.6% ลดลงจาก 43.6% ในปีก่อนหน้า เป็นไปตามกรอบเป้าหมาย

 

ฐานะเงินกองทุนยังอยู่ในระดับสูง

ด้านฐานะเงินกองทุนยังคงอยู่ในระดับสูงและมีเสถียรภาพ โดย ณ สิ้นไตรมาส 4 ของปี 2567 อัตราส่วนเงินกองทุนรวม (CAR) อยู่ที่ 19.3% และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 (Tier 1) อยู่ที่ 16.9% ยังคงสูงเป็นลำดับต้นๆ ของอุตสาหกรรม และสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารกลุ่ม D-SIBs ที่ ธปท. กำหนดไว้ที่ 12% สำหรับ CAR และ 9.5% สำหรับ Tier 1

    สำหรับปี 2568 จะยังคงมุ่งมั่นและเน้นย้ำการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบภายใต้กรอบ B+ESG เพื่อสร้างการเติบโตที่มีคุณภาพ สามารถสร้างประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้เสีย รวมทั้งสานต่อพันธกิจมุ่งมั่นให้ลูกค้ามีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น (Financial Well-being) พร้อมทั้งเดินหน้าสนับสนุนแนวทางการให้สินเชื่ออย่างเป็นธรรม (Responsible Lending) และมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน


ภาพ : ttb



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : InnovestX มองเศรษฐกิจปี 68 ผันผวนสูง ผลตอบแทนต่ำ แนะจับตาสหรัฐฯ หลังการกลับมาของประธานาธิบดี Donald Trump

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine