รู้จัก TouristDigiPay ทางเลือกจ่ายเงินของ นทท. แลกคริปโตเป็นเงินบาท แล้วค่อยจ่ายให้ร้านค้า - Forbes Thailand

รู้จัก TouristDigiPay ทางเลือกจ่ายเงินของ นทท. แลกคริปโตเป็นเงินบาท แล้วค่อยจ่ายให้ร้านค้า

เศรษฐกิจไทยพึ่งพา “การท่องเที่ยว” มายาวนาน แต่เมื่อตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง โครงการ TouristDigiPay จึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ยุคดิจิทัล ให้นักท่องเที่ยวสามารถแลกคริปโทเป็นเงินบาท ใช้จ่ายได้สะดวกทั่วไทย ตั้งแต่ร้านอาหารริมทางจนถึงห้างหรู ไม่เพียงช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง แต่ยังเป็นก้าวสำคัญของการผสาน “สินทรัพย์ดิจิทัล” เข้ากับเศรษฐกิจจริง และสร้างโอกาสใหม่ให้ผู้ประกอบการไทยในอนาคต


    “ภาคการท่องเที่ยว” ถือเป็นเครื่องยนต์หลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยมาตลอดหลายทศวรรษ ปัจจุบันมีสัดส่วนราว 20% ของจีดีพี และยังเชื่อมโยงกับการเติบโตของภาคบริการอื่นๆ อีกมากมาย แต่ไม่นานมานี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. ได้ประกาศตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมอยู่ที่ 19.29 ล้านคน สร้างรายได้ 8.95 แสนล้านบาท ซึ่งลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 6.35% และ 4.22% ตามลำดับ ท่ามกลางเทรนด์ที่หลายประเทศใช้การท่องเที่ยวเป็นเครื่องยนต์กระตุ้นเศรษฐกิจ จากสถานการณ์นี้อาจกำลังบอกเราได้ว่า “การท่องเที่ยวไทย จำเป็นต้องการแรงส่งเพิ่ม” หรือไม่?

    สิ่งที่ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเลือกมาเยือนมีหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือ “การอำนวยความสะดวก” ไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง ที่พัก หรือการใช้จ่าย ซึ่งปัจจุบันนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีรายได้สูง นิยมลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งมีบทบาทในการพัฒนาตลาดทุนและสินทรัพย์ดิจิทัล ได้เล็งเห็นความสำคัญของการส่งเสริมการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงินเพื่อสนับสนุนการเติบโตเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศ

    การเพิ่มทางเลือกของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลและเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ให้สามารถจับจ่ายใช้สอยด้วยเงินบาทได้สะดวกยิ่งขึ้น จึงเป็นที่มาของโครงการ “TouristDigiPay” ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของ ก.ล.ต. และหน่วยงานพันธมิตร เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยเปิดตัวโครงการอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม ที่ผ่านมา

    TouristDigiPay เป็นโครงการทดสอบ (sandbox) การแลกเปลี่ยนจากสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเงินบาทเพื่อชำระค่าสินค้าหรือบริการ เหมาะกับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ถือครองสินทรัพย์ดิจิทัล (เช่น คริปโต โทเคน) อยู่แล้ว

    สมมติว่านักท่องเที่ยวมีทั้งคริปโทและเงินสกุลต่างประเทศ ก็สามารถเลือกได้ว่าจะใช้คริปโตหรือเงินสกุลต่างประเทศมาแลกเป็นเงินบาทเพื่อจับจ่ายใช้สอยระหว่างท่องเที่ยวในประเทศไทย หากใช้คริปโตแลกเป็นเงินบาทก็สามารถทำได้เช่นกัน หากแต่ดำเนินการผ่านกลไกแลกเปลี่ยนที่เรียกว่า “TouristDigiPay” ที่จะเปลี่ยนจากคริปโตเป็นเงินบาทในรูปของอิเล็กทรอนิกส์ (e-money) สำหรับชำระค่าสินค้าและบริการให้แก่ร้านค้า ไม่ใช่การนำคริปโตไปใช้ชำระให้แก่ร้านค้า

    ก่อนเล่าถึงขั้นตอนการแลกเปลี่ยน อยากให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “TouristDigiPay” เป็นการต่อยอดจากระบบนิเวศที่มีอยู่เดิม โดยนำระบบแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้การกำกับของ ก.ล.ต. มาเชื่อมโยงกับระบบการชำระเงิน (e-money payment) ที่เรียกว่า “Tourist wallet” ภายใต้การกำกับของ ธปท. ทำให้การแลกเปลี่ยนจากสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเงินบาทสามารถทำได้อย่างราบรื่น

    สำหรับขั้นตอนในการแลกเปลี่ยน นักท่องเที่ยวต่างชาติจะต้องเปิดบัญชีกับผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลและผู้ให้บริการ e-money ให้เรียบร้อย หลังจากนั้นนักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถโอนสินทรัพย์ดิจิทัลไปเข้า wallet ที่ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (ที่เข้าร่วมโครงการ) เปิดไว้ให้กับลูกค้า แล้วส่งคำสั่งแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเงินบาท โดยเงินบาทจะถูกโอนไปยังบัญชีเงินฝากธนาคารของผู้ให้บริการ e-money (ที่เข้าร่วมโครงการ) เพื่อเครดิตเงินบาทไปยัง Tourist Wallet ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่สมัครใช้บริการ

    เมื่อทำครบขั้นตอนเหล่านี้ นักท่องเที่ยวก็สามารถใช้จ่ายเงินบาทชำระค่าสินค้าและบริการได้ทั่วประเทศ โดยสแกนผ่านระบบ Thai QR ที่ใช้งานกันอย่างแพร่หลาย ตั้งแต่ร้านอาหารริมทางไปจนถึงห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ซึ่งด้านหนึ่งก็ถือว่าเอื้อประโยชน์ต่อร้านค้ารายย่อย โดยกรณีชำระเงินให้กับร้านค้ารายย่อย จะจำกัดไม่เกิน 50,000 บาทต่อเดือน แต่หากเป็นกรณีชำระแก่ร้านค้าที่ผ่านกระบวนการ Know Your Merchant (KYM) เช่น ร้านค้าปลีกหรือผู้ให้บริการ ที่รับชำระผ่านระบบดิจิทัล จะไม่เกิน 500,000 บาทต่อเดือน

    ในกรณีที่มียอดเงิน (บาท) คงเหลือใน Tourist Wallet และไม่ต้องการใช้จ่ายแล้ว จะต้องนำเงินจำนวนที่เหลือไปแลกเปลี่ยนเป็นสินทรัพย์ดิจิทัล ผ่านบัญชีที่ได้เปิดไว้กับผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อโอนกลับไปยังกระเป๋าสินทรัพย์ดิจิทัลต้นทางที่นักท่องเที่ยวต่างชาติโอนเข้ามา โดยไม่จำเป็นต้องเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลเดิมที่โอนเข้ามาขายในครั้งแรก ซึ่งมูลค่ารวมที่แลกคืนต้องไม่เกินมูลค่าสินทรัพย์ดิจิทัลที่แลกขาเข้า

    นอกจากกลไกที่ช่วยให้นักท่องเที่ยวต่างชาติแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเงินบาทแล้ว ยังคำนึงถึงความปลอดภัยและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการฟอกเงินซึ่ง ก.ล.ต. และพันธมิตรไม่ได้ละเลย โดยก่อนเปิดบัญชีกับผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (เช่น ศูนย์ซื้อขาย นายหน้าซื้อขาย และผู้ค้า) ที่เข้าร่วมโครงการ นักท่องเที่ยวจะต้องทำ KYC (Know Your Customer) ตามเกณฑ์ของ ปปง. รวมถึงผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลเอง ก็ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดและเกณฑ์ของ ปปง. ในการคัดกรองลูกค้าเช่นกัน โดยตรวจสอบแหล่งที่มาของสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งแลกเข้าและแลกออก ใช้บริการ Blockchain forensic tools ที่มีความน่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล หรือวิธีการอื่นที่เทียบเท่าหรือเข้มข้นกว่าในการตรวจสอบ หากพบว่า สินทรัพย์ดิจิทัลที่โอนมาจากกระเป๋าสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความเกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน ให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล “ปฏิเสธหรือระงับการให้บริการกับผู้ใช้บริการคนดังกล่าว”

    โครงการ TouristDigiPay ซึ่งมีระยะเวลาทดสอบ 18 เดือน คาดว่าจะเริ่มให้บริการกับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้จริงในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2568 และเมื่อ ก.ล.ต. มีการออกหลักเกณฑ์เรียบร้อยแล้ว ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลจะต้องร่วมกับผู้ให้บริการ e-money สมัครเข้าร่วมโครงการกับ ก.ล.ต. ซึ่งคาดว่าจะเริ่มรับสมัครภายในเดือนกันยายน 2568 โดย ก.ล.ต. และ ธปท. จะร่วมกันพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมระบบของผู้ประกอบธุรกิจก่อนเริ่มต้นให้บริการจริง รวมทั้งมีมาตรการที่รัดกุมเพื่อป้องกันการฟอกเงิน หรือ นำโครงการไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม

    โดยสรุปแล้ว “TouristDigiPay” ไม่ได้เป็นเพียงโครงการที่เพิ่มทางเลือกให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเท่านั้น แต่ยังเป็นบททดสอบสำคัญของการประยุกต์ใช้สินทรัพย์ดิจิทัลในภาคการท่องเที่ยว และจุดเริ่มต้นเล็กๆ นี้ กำลังปูทางไปสู่พัฒนาการของนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก รวมถึงสนับสนุนให้ธุรกิจเอสเอ็มอี โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายและมีโอกาสในการขยายธุรกิจได้มากขึ้น


บทความโดย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : เทรนด์ Digital Gold ตอบโจทย์นักลงทุนยุคใหม่! ปี 2024 ไทยมีความต้องการทองคำมากสุดอันดับ 7 ของโลก

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine