ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเปิดเผยรายงานว่าไทยขาดดุลการค้ากับจีนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยปี 2566 ขาดดุลการค้ามากถึง -3.66 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ
ประเทศไทยกับจีนมีความสัมพันธ์ทางด้านการค้ากันมายาวนาน จีนเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย โดยไทยส่งออกไปจีนเป็นอันดับที่ 2 (12%) และนำเข้าจากจีนเป็นอันดับที่ 1 (24%) ซึ่งไทยขาดดุลการค้ากับจีนมาโดยตลอด การขาดดุลได้ทยอยเร่งตัวขึ้นจนล่าสุด ณ สิ้นปี 2566 ไทยขาดดุลการค้ากับจีนสูงสุดเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ -3.66 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ
สินค้าสำคัญที่ไทยขาดดุลการค้ากับจีน คือ เครื่องจักรและเครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้า (33.8%) เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ บอยเลอร์ เครื่องจักร เครื่องใช้กล (14.7%) รวมถึงสินค้าประเภทรถยนต์ (7.5%)
ขณะที่สินค้าที่ไทยเกินดุลการค้ากับจีน คือ ผลไม้สด (35.8%) ยางพารา (23.4%) และไม้(7.8%) ซึ่งเป็นสินค้าเกษตรกรรมที่มูลค่าไม่สูงเพียงพอที่จะชดเชยมูลค่าสินค้าที่ขาดดุลได้
การขาดดุลสินค้าประเภทรถยนต์เร่งตัวขึ้น เมื่อเทียบโครงสร้างสินค้าที่ไทยขาดดุลกับจีนในปี 2560 กับ 2566 พบว่าไทยขาดดุลสินค้าประเภทรถยนต์กับจีนเพิ่มขึ้นจาก 0.3% มาอยู่ที่ 7.5% ของสินค้าไทยทั้งหมดที่ขาดดุลกับจีน
โดยสัดส่วนที่ขาดดุลมาจากรถยนต์และยานยนต์อื่นๆ ที่ออกแบบสำหรับขนส่งบุคคลเป็นหลัก (60.3%) และส่วนประกอบและอุปกรณ์ของยานยนต์ (27.2%) ซึ่งคาดว่าเกิดจากการเข้ามาตั้งโรงงานประกอบรถยนต์ของบริษัทรถยนต์จากจีน
ซึ่งในระยะต่อไปไทยมีแนวโน้มที่จะขาดดุลสินค้าประเภทรถยนต์มากขึ้น เนื่องจากบริษัทรถยนต์จีนหลายแห่งได้เข้ามาตั้งฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไทย จึงคาดว่าการนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น
ผลไม้เป็นสินค้าที่ไทยเกินดุลกับจีนเป็นอันดับที่หนึ่งแทนที่ยางพารา ในอดีตยางพาราเป็นสินค้าที่ไทยเกินดุลกับจีนเป็นอันดับที่หนึ่ง แต่เนื่องจากความต้องการที่ลดลง ประกอบกับประเทศเพื่อนบ้านและจีนเองได้ปลูกยางพาราเพิ่มมากขึ้น ทำให้ไทยส่งออกยางพาราไปจีนลดลง
ขณะที่ความต้องการผลไม้จากจีนที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผลไม้กลายเป็นสินค้าที่ไทยเกินดุลกับจีนเป็นอันดับที่ 1 แทนที่ยางพารา โดยจีนนำเข้าผลไม้จากไทยเป็นอันดับ 1 (มีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 37%) ซึ่งทุเรียนคิดเป็นสัดส่วนของการส่งออกผลไม้ของไทยไปจีนที่ 14% อย่างไรก็ตาม ไทยมีแนวโน้มเผชิญการแข่งขันที่สูงขึ้นจากการส่งออกผลไม้โดยเฉพาะทุเรียนที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามได้มีการปลูกและพัฒนามากขึ้น
เมื่อพิจารณาจากโครงสร้างการค้าไทยกับจีน การขาดดุลการค้ากับจีนมีแนวโน้มสูงขึ้น เนื่องจาก
1.สินค้าที่ไทยขาดดุลกับจีนเป็นสินค้ามูลค่าสูงที่มีการใช้เทคโนโลยีหรือการประหยัดจากขนาดการผลิต ขณะที่สินค้าที่ไทยเกินดุลเป็นสินค้าเกษตรจำพวกผลไม้ซึ่งปัจจุบันการแข่งขันเริ่มสูง เช่น ทุเรียนจากเวียดนามที่เริ่มเข้ามาชิงส่วนแบ่งตลาดทุเรียนในจีนมากขึ้น
2.สินค้าอุปโภคบริโภคจากจีนทะลักเข้ามาในประเทศ โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เนื่องจากจีนมีข้อได้เปรียบเรื่องต้นทุนการผลิต และสินค้าจากจีนได้รับข้อยกเว้นการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับสินค้าที่มีมูลค่าไม่เกิน 1,500 บาท ซึ่งกำลังมีการทบทวนข้อยกเว้นดังกล่าว
3.ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ส่งผลให้การส่งออกสินค้าขั้นกลางที่เคยส่งออกไปจีนได้มีแนวโน้มลดลง เนื่องจากบริษัทต่างชาติย้ายฐานการผลิตออกจากจีน รวมถึงบริษัทในจีนได้มีการออกไปลงทุนนอกประเทศมากขึ้นเพื่อเลี่ยงมาตรการกีดกันทางการค้า
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าแนวโน้มการขาดดุลการค้ากับจีนที่เพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งเป็นการสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างการส่งออกของไทยในภาพใหญ่ที่ไทยยังไม่มีอุตสาหกรรมใหม่ที่จะเข้ามาทดแทนและเป็นตัวขับเคลื่อนการส่งออกในระยะข้างหน้า อย่างเช่นเวียดนามที่มีอุตสาหกรรมการผลิต semiconductor
ดังนั้น หากไทยยังไม่มีการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง ทิศทางการส่งออกของไทยในระยะข้างหน้านอกจากจะมีแนวโน้มเติบโตต่ำลงแล้ว การเกินดุลการค้าที่มีแนวโน้มลดลงจะเป็นตัวลดทอนเสถียรภาพทางเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าอีกด้วย
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ส่งออกไทยเริ่มแบก ศก.ไม่ไหว ผลิตแต่สินค้าโลกเก่า โดนจีนตีตลาด KKP แนะเร่งปรับโครงสร้าง ยกระดับความสามารถแข่งขัน
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine