เมื่อ 14 ส.ค. 67 ในช่วง 15.00 น. ศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งเพื่ออ่านคำวินิจฉัยโดยมีมติ 5 ต่อ 4 ให้นายเศรษฐา ทวีสิน พ้นจากนายกรัฐมนตรี จากกรณีการตั้ง พิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีฯ แม้ขาดคุณสมบัติ ซึ่งส่งผลถึงคณะรัฐมนตรีของนายกฯ เศรษฐา จะพ้นออกจากตำแหน่งทั้งคณะ จากข่าวนี้ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยดิ่งลงสู่จุดต่ำสุดของวันที่ 1,280.99 จุด (ราว 15.30 น.) แม้จะกลับขึ้นมาบ้างแต่ยังปิดตลาดที่ระดับ 1,292.69 จุด
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด หรือ บล. เอเซีย พลัส (ASPS) เปิดเผยกับ ForbesThailand ว่า คำวินิจฉัยคดีถอดถอนนายเศรษฐา ทวีสิน จากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เบื้องต้นถือเป็นข่าวลบ ในด้านความเชื่อมั่นมองว่ากระทบอยู่บ้าง เพราะตั้งแต่มีข่าวขอยื่นถอดถอนฯ เมื่อ 23 พ.ค. 2567 จนถึงวันนี้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงราว 5% (แม้จะปรับตัวลดลงเพราะข่าวอื่นด้วยในบางช่วง)
หากมองในมุมตลาด ยังคงมองว่า เหตุการณ์นี้ตลาดอาจตกใจในช่วงสั้นๆ แต่นักลงทุนจะกังวลใน 2 ส่วน ได้แก่ 1) ภาวะสุญญากาศทางการเมืิองจะยาวนานหรือไม่ 2) นโยบายจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร
ทั้งนี้ จากสถานการณ์ปัจจุบันมองว่า ด้วยเสียงรวมของพรรคร่วมยังอยู่ที่ 314-315 เสียง คาดว่าการโหวตนายกรัฐมนตรีจะไม่ได้ใช้เวลานาน โดยคาดว่าจะใช้เวลาหลักสัปดาห์เท่านั้น ซึ่งหลังจากมีมติตั้งนายกฯ ใหม่จะมีการตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่และเดินหน้าได้ต่อไปได้ ในด้านนโยบายของรัฐบาลไม่ควรจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยยะสำคัญ เพราะยังเป็นการร่วมกันของพรรครัฐบาลเดิม
อย่างไรก็ตามคาดว่า แนวรับตลาดหุ้นไทย หรือ SET Index ในระยะสั้นจะอยู่ที่ 1,280 จุด กรอบบนอยู่ที่ 1,310 จุด ซึ่งเป็นกรอบการเคลื่อนไหวเดียวกับพรุ่งนี้ (15 ส.ค. 67) และต้องจับตาอย่างใกล้ชิดถึงขั้นตอนในการโหวตนายกฯ ใหม่ว่าจะมีทีมครม.ใหม่ได้เร็วแค่ไหน
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวว่า จากสถานการณ์นี้ต้องติดตามว่าการรวมคะแนนเสียงเพื่อเลือกนายกฯ คนถัดไป พร้อมกับการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่จะกินเวลายาวนานแค่ไหน หลังจากวันนี้ขั้นตอนหลักคือ สภาฯ มีหน้าที่ที่จะต้องลงคะแนนเสียงเลือกนายกฯ จากบัญชีแคนดิเดตที่เหลืออยู่ เช่น แพทองธาร ชินวัตร ชัยเกษม นิติสิริ จากพรรคเพื่อไทย หรืออนุทิน ชาญวีรกุล จากพรรคภูมิใจไทย เป็นต้น
หากมีการโหวตนายกฯ เกิดขึ้นได้เร็วภายในไตรมาสที่ 3 / 67 เชื่อว่าผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยจะไม่มากนัก แต่หากเกิดสูญญากาศทางการเมืองไปถึงไตรมาสที่ 4 ประเมินว่าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสเผชิญกับภาวะ Political risk premium ที่สูงขึ้นได้ และอาจกระทบต่อคาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนต่างๆ จะถูกปรับลงอีกระลอก โดยเฉพาะกลุ่มที่อิงกับ Domestic demand ซึ่งจะถูกบั่นทอนจาก ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลง การชะลอการลงทุนของภาคธุรกิจ และการเบิกจ่ายภาครัฐที่ล่าช้าออกไป
ในกรณีนี้ ทรีนีตี้ อาจปรับลดสมมติฐาน EPS ของตลาดลง จนกระทบกับระดับดัชนี SET ที่เหมาะสม โดยอาจต่ำกว่าแนวรับสำคัญที่ 1,270 จุด และอาจต้องระวังกลุ่มค้าปลีกที่มีโอกาสได้รับ Sentiment เชิงลบจากความคาดหวังมาตรการ Digital Wallet ที่น้อยลง
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ‘เศรษฐา ทวีสิน’ ขึ้นปกนิตยสาร TIME พร้อมคำโปรยบนปก ‘The Salesman’
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine