บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) สร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลัก แจ้งเดินหน้าแผนถอนการลงทุนในเรด ล็อบสเตอร์
โดยไทยยูเนี่ยน เป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ เรด ล็อบสเตอร์ ตั้งแต่ปี 2559 จากการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในฐานะผู้ถือหุ้นส่วนน้อย และจากที่เคยแจ้งเมื่อปีที่ผ่านมาว่าได้ร่วมกันแต่งตั้งที่ปรึกษาทางธุรกิจชั้นนำเพื่อให้คำแนะนำในเชิงการปฏิบัติการและในด้านการเงิน เพื่อหาแนวทางที่ดีที่สุดให้เรด ล็อบสเตอร์
ธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในภาคอุตสาหกรรม อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ต้นทุนวัตถุดิบ และค่าแรงที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของเรด ล็อบสเตอร์ ทำให้มีผลต่อบริษัทและผู้ถือหุ้นของบริษัทอย่างต่อเนื่อง
และจากการพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว คณะกรรมการบริษัทฯ มีความเห็นว่าธุรกิจเรด ล็อบสเตอร์ ที่มีความต้องการใช้เงินสูง ไม่สอดคล้องกับแผนการจัดสรรเงินลงทุนของบริษัทฯ ในฐานะผู้ลงทุน เราจึงตัดสินใจถอนการลงทุนในเรด ล็อบสเตอร์
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนของเรด ล็อบสเตอร์ จำนวน 665.8 ล้านบาท หรือ 19 ล้านเหรียญ ซึ่งในระหว่างที่บริษัทฯ ศึกษาช่องทางที่เป็นไปได้ในการถอนการลงทุนนี้ ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2566 นี้ บริษัทฯ บันทึกเป็นรายการด้อยค่าที่ไม่ใช่เงินสดครั้งเดียว ที่จำนวนราว 18,500 ล้านบาท หรือประมาณ 530 ล้านเหรียญ
ทั้งนี้ หลังจากการบันทึกรายการด้อยค่าดังกล่าว ภาพรวมทางธุรกิจไทยยูเนี่ยนยังเติบโต มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และระดับหนี้ต่ำโดยมีอัตราส่วนหนี้ต่อทุนที่ 0.84 เท่า
และเพื่อแสดงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงินในวงเงินไม่เกิน 3,600 ล้านบาท หรือไม่เกิน 200 ล้านหุ้น
บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาความสามารถในการทำกำไร และเพิ่มอัตรากำไรในทุกธุรกิจหลัก โดยบริษัทฯ อยู่ในระหว่างการจัดทำแผนกลยุทธ์สำหรับปี 2573 ซึ่งจะให้ความสำคัญกับกลุ่มธุรกิจหลักคือ อาหารทะเลแปรรูปบรรจุกระป๋อง อาหารทะเลแช่แข็ง แช่เย็น และอาหารสัตว์เลี้ยง ที่จะสร้างความแข็งแกร่ง และทำกำไร พร้อมสร้างมูลค่าที่เพิ่มขึ้นในระยะยาวสำหรับผู้ถือหุ้น
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : KBank ประเมินเศรษฐกิจโลกปี 67 โตต่อได้ แนะนักลงทุนกระจายทรัพย์สิน บริหารความเสี่ยง
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine