หุ้นไทยสัปดาห์นี้ จับตาผลประชุมเฟด - Forbes Thailand

หุ้นไทยสัปดาห์นี้ จับตาผลประชุมเฟด

ดัชนีหุ้นไทยสัปดาห์ที่ผ่านมา ลงไปแตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี 3 เดือน ที่ 1,352.48 จุด หลังผลประกอบการกลุ่มแบงก์ในไตรมาส 4/2566 ออกมาต่ำกว่าที่คาด สัปดาห์นี้ลุ้นผลการประชุมเฟด 30-31 มกราคม 2567 ตลาดคาดคงอัตราดอกเบี้ย ก่อนปรับลดในช่วงครึ่งหลังของปี บล.กสิกรไทย ระบุ 10 ปีต่างชาติขายหุ้นไทยกว่า 9.7 แสนล้านบาท กังวลการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย


    บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทยมองหุ้นสัปดาห์นี้ (29 มกราคม – 2 กุมภาพันธ์ 2567) คาดดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,360 และ 1,350 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,380 และ 1,390 จุด ตามลำดับ หลังจากดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวผันผวนแต่ยังคงปรับตัวลงต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อน

    โดยดัชนีหุ้นไทยร่วงลงแรงช่วงต้นสัปดาห์และแตะจุดต่ำสุดในรอบเกือบ 3 ปี 3 เดือนที่ 1,352.48 จุด โดยเผชิญแรงขายต่อเนื่องจากกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะในหุ้นกลุ่มแบงก์หลังผลประกอบการไตรมาส 4/66 ออกมาต่ำกว่าคาด ประกอบกับมีปัจจัยลบกรณีสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2566 และ 2567 ลงอยู่ที่ 1.8 และ 2.8% ตามลำดับ

    อย่างไรก็ตาม หุ้นไทยดีดตัวขึ้นช่วงสั้นๆ กลางสัปดาห์ โดยมีแรงหนุนจากการเตรียมตั้งกองทุนพยุงหุ้นและออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีนและจากปัจจัยทางการเมืองในประเทศ และย่อตัวลงอีกครั้งในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ ท่ามกลางแรงขายหุ้นกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จากความกังวลเรื่องผลประกอบการและแรงขายเพื่อลดความเสี่ยงก่อนการประชุมเฟดในสัปดาห์นี้ (30-31 มกราคม)

โดยวันศุกร์ที่ 26 มกราคม 2567 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,368.15 จุด ลดลง 1.04% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 48,684.85 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.22% จากสัปดาห์ก่อน


จับตาการประชุมเฟดสัปดาห์นี้

    ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การประชุมเฟด (30-31 มกราคม) ทิศทางเงินทุนต่างชาติ และผลประกอบการงวดไตรมาส 4/66 ของบริษัทจดทะเบียนไทย ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชน ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร อัตราการว่างงาน และดัชนี ISM/PMI ภาคการผลิตเดือนมกราคม รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์

    ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/2566 และดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนมกราคมของยูโรโซนและดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนมกราคมของจีน ญี่ปุ่น ยูโรโซน อังกฤษเดือนมกราคม

    ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประชุม FOMC ครั้ง 1/67 จะกำหนดนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ในวันที่ 1 ก.พ. 67 คาดการณ์ว่า เฟดมีโอกาสคงดอกเบี้ยนโยบายระยะสั้นไว้ที่ 5.5% เนื่องจาก 2 เงื่อนไขสำคัญได้แก่ 1.อัตราเงินเฟ้อต่ำกว่า 2% และ 2.เศรษฐกิจมีแนวโน้มถดถอย

    โดยอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐอเมริกา คาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับสูง ต่อเนื่องจาก 1.การจ้างงานในสหรัฐฯ ขยายตัวต่อ และแนวโน้มราคาพลังงานกำลังปรับขึ้นจากสงคราม 2 แห่ง ได้แก่ สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน และสงครามอิสราเอลกับฮามาส

    ทั้งนี้ ในภาพรวมเฟดมีโอกาสสูงที่คงดอกเบี้ยในระดับสูงที่ 5.5% รวมถึงการส่งสัญญาณคงดอกเบี้ยต่ออีก เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังไม่ถึงเป้าหมายของเฟดที่ 2% นับเป็นปัจจัยสำคัญที่ลบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก

    ขณะที่สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานผลการสำรวจโพลล์รอยเตอร์ ระบุว่า นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ 5.25-5.50% ในวันที่ 31 มกราคม 2567 และปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2567 ซึ่งมีแนวโน้มเกิดขึ้นในเดือนมิถุนายนมากกว่าพฤษภาคม 2567


10 ปีต่างชาติขายสุทธิกว่า 9.7 แสนล้าน

    บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย ออกบทวิเคราะห์ “ส่องสถิติต่างชาติลงทุนตลาดหุ้นไทยย้อนหลัง 10 ปี” ระบุว่า นักลงทุนต่างชาติมีสถานะเป็นผู้ขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยที่ 9.75 แสนล้านบาท ตั้งแต่ปี 2556 และยังมีสถานะเป็นผู้ขายสุทธิในอีก 8 ปี จาก 10 ปีที่ผ่านมา

    ตลาดคาดการณ์ถึงหลายสาเหตุ เช่น ปัญหาหนี้ครัวเรือน สถานการณ์ความไม่สงบทางการเมือง การลงทุนที่หายไป ประชากรสูงวัยและการสูญเสียข้อได้เปรียบทางการแข่งขันในการส่งออกของสินค้าอุตสาหกรรม

    ทั้งนี้ บทวิเคราะห์ระบุว่าสาเหตุหลักที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทยมาจากการเติบโตของกำไรสุทธิที่ขาดหายไป โดย Bloomberg consensus คาดว่าความสามารถในการทำกำไร (market EPS) ของประเทศไทยจะอยู่ที่ 88 บาท ในปี 2556 และ 85 บาท ในปี 2566 บ่งชี้ถึงการเติบโตที่คงที่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านม

    ขณะที่ SET Index เคลื่อนไหวออกด้านข้างอยู่ระหว่าง 1,000-1,800 จุด ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เทียบกับระดับปัจจุบันที่ 1,380 จุด ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทยและลงทุนในตลาดประเทศอื่นๆ ที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีกว่าเพื่อจะได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่า

    โดยเชื่อว่านักลงทุนต่างชาติจะยังเทขายหุ้นไทยในช่วงครึ่งแรกปีนี้จาก downside ต่อกำไรสุทธิปี 2567 ผลจากสภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกที่ชะลอตัวลง การบริโภคที่อ่อนแอ จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ฟื้นตัวช้าและรัฐบาลไม่สามารถออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจได้ตามที่คาดหวัง

    อย่างไรก็ตาม บล.กสิกรไทยคาดว่าแนวโน้มการเติบโตของตลาดในช่วงครึ่งหลังปีนี้จะดีกว่าในช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากคาดว่ารัฐบาลจะผ่านร่างงบประมาณประจำปี 2567 และเฟดจะปรับทิศทางของนโยบายอัตราดอกเบี้ยสูง ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนดอกเบี้ยลดลงและเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาด และทำให้นักลงทุนต่างชาติจะหยุดเทขาย และอาจเริ่มกลับมาสะสมหุ้นไทยเมื่อ market EPS ฟื้นตัวขึ้น ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาก่อนในปี 2559 และ 2565


Photo by Austin Distel on Unsplash


เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : 10 อันดับประเทศนิยมลงทุนในไทยมากสุด ปี 2566

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine