ตลาดหุ้นไทยปีนี้ โอกาสที่มาพร้อมกับความท้าทาย - Forbes Thailand

ตลาดหุ้นไทยปีนี้ โอกาสที่มาพร้อมกับความท้าทาย

นักวิเคราะห์หลายสำนักให้น้ำหนักลงทุนหุ้นไทยในปีนี้ แต่ผ่านมาแล้วเกือบ 1 เดือน ดัชนีหุ้นไทยยังปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง


    ล่าสุดวันศุกร์ที่ 19 มกราคม 2567 ดัชนีปิดที่ระดับ 1,382.51 จุด ลดลงอีก 2.19% จากสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 45,832.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.20% แม้แนวโน้มตลาดหุ้นไทยจะมีโอกาสมากขึ้นจากเม็ดเงินลงทุนที่ไหลมาในภูมิภาคนี้ แต่ยังมีความท้าทายหลายด้านรออยู่

    ปัจจัยบวกข้อแรกที่ทำให้นักวิเคราะห์หลายสำนักมองว่าตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น คือธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเริ่มลดดอกเบี้ยในปีนี้

    โดยธนาคารซิตี้แบงก์มองว่าเฟดจะเริ่มปรับลดดอกเบี้ยตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2567 เป็นต้นไป และลดลง 100 bps หรือประมาณ 4 ครั้ง

    การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดจะทำให้เงินลงทุนไหลไปยังสินทรัพย์เสี่ยงต่างๆ ทั้งหุ้นและตราสารหนี้ โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมทั้งไทย ซึ่งในปีที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นไทยลดลงไปต่ำสุดไปภูมิภาค ประมาณ 15% ดังนั้นมีโอกาสพลิกกลับมาได้จากราคาหุ้นที่ลดต่ำลงไปมาก

    ประการต่อมา แนวโน้มเศรษฐกิจไทยมีโอกาสเติบโตสูงกว่าปีที่ผ่านมา โดยนักวิเคราะห์หลายสำนัก รวมทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโต 3 – 3.6% ซึ่งเป็นการเติบโตตามศักยภาพ ยังไม่รวมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างโครงการดิจิทัลวอลเล็ต

    โดยเครื่องยนต์หลักทั้งการท่องเที่ยว ที่คาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวกลับมาประมาณ 35 ล้านคนในปีนี้ และการส่งออกที่คาดว่าจะกลับมาขยายตัว 3 – 5% รวมทั้งการใช้จ่ายของภาครัฐ ที่แม้โครงการดิจิทัลวอลเล็ตยังไม่ชัดเจนว่าจะดำเนินการได้หรือไม่ อย่างไร แต่รัฐบาลน่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านอื่นๆ รวมถึงการดึงเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ (FDI) เข้ามา จะส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนกลับมาขยายตัวได้

    อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจไทย ที่มีการเติบโตอย่างไม่ทั่วถึง เป็นความท้าทายที่อาจส่งผลให้บริษัทจดทะเบียนในบางอุตสาหกรรมยังไม่สามารถเติบโตได้ดีเท่าที่ควร รวมถึงปัญหาเรื่องการผิดนัดชำระหนี้ หรือเลื่อนชำระหนี้ของบริษัทจดทะเบียนบางแห่ง ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งแก้ไขต่อไป

    บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) ให้มุมมองการลงทุนหุ้นไทยเป็นกลาง โดยคาดว่าความมั่นใจของนักลงทุนจะกลับมาเมื่อนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจมีความชัดเจน

    อย่างไรก็ตามมองไประยะข้างหน้า คาดว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มกลับมาขยายตัวได้ จากเศรษฐกิจไทยที่มีโอกาสเติบโตเร่งตัวขึ้น โดยการท่องเที่ยวและการบริโภคยังเติบโตได้ต่อเนื่อง บวกกับการส่งออกที่จะกลับมาขยายตัว รวมทั้งการใช้จ่ายภาครัฐน่าจะเร่งตัวขึ้นหลังประกาศใช้งบประมาณในไตรมาส 2 ของปี 2567 ซึ่งจะทำให้รัฐบาลมีความชัดเจนในการเดินหน้านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งระยะสั้นและระยะยาว

    ขณะที่ Valuation ของตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันมีการซื้อขายในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ขณะที่ความเสี่ยงของตลาดหุ้นไทย อาจเกิดจากความล่าช้าและไม่ชัดเจนของนโยบายภาครัฐ เศรษฐกิจโลกที่อาจจะชะลอตัวมากกว่าที่คาด และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง

    คำแนะนำของ บลจ.กสิกรไทย คือการจัดพอร์ตการลงทุนที่มีความหลากหลาย กระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ทั้งหุ้นและตราสารหนี้

    สำหรับมุมมองการลงทุนในตลาดอื่นๆ บลจ.กสิกรไทย เพิ่มน้ำหนักลงทุนในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น อินเดีย เวียดนาม จากภาพรวมเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น และกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่มีความแข็งแกร่ง ส่วนตลาดจีนให้มุมมองเป็นกลางเช่นเดียวกับตลาดไทย

    ทั้งนี้ สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยสัปดาห์ถัดไป (22-26 มกราคม 2567) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,385 และ 1,370 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,400 และ 1,425 จุด ตามลำดับ

    โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขส่งออกเดือน ธ.ค. ของไทย ทิศทางเงินทุนต่างชาติ และผลประกอบการงวดไตรมาส 4/66 ของ บจ.ไทย

    ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน ยอดขายบ้านใหม่ รายได้และรายจ่ายส่วนบุคคล และดัชนี PMI เดือน ม.ค. (เบื้องต้น) ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/66 รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์

    ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ การประชุม BOJ และ ECB ดัชนี PMI เดือน ม.ค. (เบื้องต้น) ของญี่ปุ่น ยูโรโซน อังกฤษ ที่ต้องจับตาดูว่าจะมีผลต่อตลาดหุ้นไทยมากน้อยเพียงใด


Image by rawpixel.com on Freepik



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : LGT มองแนวโน้มการลงทุนปี 2567 ภาพรวมยังบวกแต่เศรษฐกิจผันผวน

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine