ทีซีเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด มหาชน หรือ TCMC ประกาศผลประกอบการปี 2566 ทำรายได้กว่า 8 พันล้านบาท เฉพาะกลุ่มธุรกิจวัสดุตกแต่งพื้นผิว ได้อานิสงค์จากการท่องเที่ยวฟื้น ทำกำไรสุทธิยอดพุ่งสูงสุดในรอบ 5 ปี อยู่ที่ 76.12 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 177%
ปิยพร พรรณเชษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีซีเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด มหาชน หรือ TCMC เผยว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทในปี 2566 มีรายได้จากการขายสินค้าและบริการรวม 8,006.32 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่รายได้ 9,066.57 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 11.69 มีปัจจัยมาจากความต้องการซื้อ ลดลงจากช่วงการเติบโตสูงในช่วงล๊อคดาวน์จากโควิดสำหรับกลุ่มธุรกิจเฟอร์นิเจอร์
แต่ทั้งนี้ ในกลุ่มธุรกิจวัสดุตกแต่งพื้นผิวมีคำสั่งซื้อสูงขึ้น โดยเป็นผลจากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวทำให้ภาคบริการอย่างธุรกิจโรงแรม โรงภาพยนตร์ ศูนย์ประชุม และธุรกิจ MICE กลับมาคึกคักอีกครั้ง ส่งผลให้กลุ่มธุรกิจดังกล่าวมีผลกำไรเติบโตอย่างต่อเนื่องสูงสุดในรอบ 5 ปี ขณะที่กลุ่มธุรกิจพรมและผ้าหุ้มเบาะรถยนต์มีแนวโน้มคงที่ ทำให้ภาพรวมของการดำเนินธุรกิจตลอดปี 2566 มี EBITDA จำนวน 596.22 ล้านบาท สูงขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นร้อยละ 5.22 และมีผลประกอบการเป็นกำไรสุทธิ 81.62 ล้านบาท โดยคิดเป็นกำไรสุทธิส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่ 50.25 ล้านบาท

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ TCMC กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า ผลการดำเนินงานในปี 2566 กลุ่มธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ (TCM Living) รายได้อยู่ที่ 4,597.13 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 5,970.14 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 23 เป็นไปตามที่คาดการณ์ เนื่องจากตลาดชะลอตัวและการปรับอัตราดอกเบี้ยของประเทศอังกฤษ ทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายมากยิ่งขึ้น แต่ทว่าท่ามกลางความท้าทายนี้กลุ่มธุรกิจยังคงสามารถทำอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นได้เป็นร้อยละ 18.91 จากปีก่อนทำได้ร้อยละ 14.54 ถึงแม้จะมีคำสั่งซื้อลดน้อยลง
โดยสาเหตุหลักมาจากการปิดโรงงาน J28 ในช่วงไตรมาสแรกของปี 66 ทำให้ค่าใช้จ่ายลดลง นอกจากนี้ในปี 2565 ยังมีรายได้พิเศษจากการขายกิจการ Arlo & Jacob ในช่วงไตรมาสแรกของปี มีค่าใช้จ่ายการขายและบริหารรวมกันเป็นจำนวน 796.02 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าปีก่อน แต่ยังคงต่ำกว่าที่ฝ่ายบริหารคาดการณ์ไว้ จากผลกระทบของอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ถือได้ว่าสะท้อนการดำเนินงานของบริษัทที่สามารถบริหารจัดการได้ดีท่ามกลางความท้าทายนี้

ด้านกลุ่มธุรกิจวัสดุตกแต่งพื้นผิว (TCM Surface) ตลอดปี 2566 ที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้จากการขายและบริการจำนวน 2,588.92 ล้านบาท สูงกว่างวดเดียวกันของปีก่อนที่ 2,273.37 หรือคิดเป็นร้อยละ 13.88 โดยมีปัจจัยหนุนที่สำคัญจากการฟื้นตัวของตลาดท่องเที่ยวและโรงแรมซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของธุรกิจ และแม้ว่าบริษัทจะเผชิญกับความท้าทายทั้งผลกระทบจากค่าขนส่ง ค่าแรง และราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้นจากสภาพตลาด แต่บริษัทได้มีการปรับราคาสินค้าให้สอดคล้องกัน และปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้กลุ่มธุรกิจสามารถทำอัตรากำไรขั้นต้นได้ร้อยละ 41.34 สูงกว่าปีก่อนที่ทำไว้ร้อยละ 37.73
พร้อมกันนี้บริษัทยังได้เดินหน้าส่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ "RT Acoustic" เข้าสู่ตลาดและได้ผลตอบรับที่ดี ผนวกกับการบริหารจัดการภายใน การปรับโครงสร้างการทำงาน และใช้เทคโนโลยีใหม่มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ เพื่อลดค่าใช้จ่ายในด้านการดำเนินงาน ส่งผลให้ภาพรวมเมื่อหักค่าใช้จ่ายส่วนกลาง ต้นทุนทางการเงิน ที่เพิ่มสูงขึ้นจากการปรับอัตราดอกเบี้ยและภาษี ทำให้กลุ่มธุรกิจมีผลกำไรสุทธิ 76.12 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อนคิดเป็นร้อยละ 177.56 เป็นผลกำไรที่สูงที่สุดในรอบ 5 ปี ของกลุ่มธุรกิจ

ขณะที่กลุ่มธุรกิจพรมและผ้าหุ้มเบาะรถยนต์ (TCM Automotive) ในปี 2566 สามารทำยอดขายได้ใกล้เคียงกับปีก่อนหน้านี้ที่ 820.27 ล้านบาทโดยลดลงเล็กน้อยจากปีก่อนที่ 823.05 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 0.34 และสามารถทำอัตรากำไรขั้นต้นได้ร้อยละ 22.41 ซึ่งสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนที่ทำได้ร้อยละ 21.78 โดยมีปัจจัยบวกมาจากการขายสินค้ากลุ่มพรมรถยนต์ได้มากขึ้น ที่สามารถทำอัตรากำไรได้สูงกว่าสินค้าประเภทผ้าหุ้มเบาะหรือ PU, PVC รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ทำให้ต้นทุนลดลง อย่างไรก็ดี ทางกลุ่มบริษัทมีการบริหารจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารให้ลดลง มีการควบคุมค่าใช้จ่ายให้รัดกุมมากขึ้น
สำหรับสภาพคล่องทางการเงินของกลุ่มบริษัทโดยรวมยังอยู่ในสภาพที่ดี สามารถชำระหนี้เงินกู้ธนาคารคืนล่วงหน้า ทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนลดลงจาก 2.19 เท่า ณ วันสิ้นปี 2565 เป็น 1.92 เท่า ณ วันสิ้นปี 2566 ส่งผลให้กลุ่มบริษัทมีสินทรัพย์รวมและหนี้สินรวม ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 ลดลง จากวันสิ้นปี 2565 คิดเป็นร้อยละ 6.72 และร้อยละ 10.63 ตามลำดับ และมีส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 เพิ่มขึ้น จากวันสิ้นปี 2565 คิดเป็นร้อยละ 1.83

เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : PTG ทุ่ม 35 ล้านบาท ผ่านบริษัทย่อย ถือหุ้น 70% ในบริษัทใหม่ “โกลัค” GL ดึงแบรนด์ Subway เก็บเข้าพอร์ต
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine