ตลาดหลักทรัพย์ เรียกความเชื่อมั่นนักลงทุน เร่งแก้ปัญหาโปรแกรม เทรดดิ้งความถี่สูง เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ ระบุมีสัดส่วน 8 – 12% ของมูลค่าการซื้อขาย สรุปยอด 11 เดือน ต่างชาติเทขาย 1.92 แสนล้านบาท มั่นใจทิศทางเศรษฐกิจปีหน้าหนุนตลาดฯฟื้น รวมทั้งกองทุน ThaiESG ดึงนักลงทุน
ดร.ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ เร่งเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนกลับมาจากการปรับปรุงกฎ ระเบียบต่าง ๆ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ขณะที่ช่วงหลังเกิดกรณีปัญหา ทั้งเรื่อง Naked Short Selling การขายหุ้นโดยไม่มีหุ้น การส่งคำสั่งซื้อขายด้วยความถี่สูง (High Frequency Trading: HFT) และโปรแกรม เทรดดิ้ง (โรบอท) ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯพยายามตรวจสอบอย่างเข้มข้น ซึ่งปัจจุบันนักลงทุน 80% ใช้โปรแกรม เทรดดิ้ง ส่วน HFT ที่ตั้งใจเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ มีประมาณ 8-12%
“กลุ่ม High Frequency Trading มีสัดส่วนไม่มาก ไม่เป็นผลทำให้การซื้อขายผิดปกติ ซึ่งต้องเข้าใจว่าปัจจุบันนักลงทุน 80% ใช้โปรแกรม เทรดดิ้ง ขณะที่รายย่อยมีการใช้โปรแกรม เทรดดิ้งเช่นเดียวกัน โดย 30% ใช้โปรแกรมที่มีความซับซ้อนขึ้น แต่จะทำอย่างไรให้การซื้อขายของแต่ละกลุ่มมีความสมดุล ซึ่งตลาดฯจะพยายามหาเครื่องมือมาช่วยรายย่อยให้มีเครื่องมือในการซื้อขายที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น” ดร.ภากรกล่าว
ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ระหว่างการตั้งที่ปรึกษา ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ในต่างประเทศ เพื่อให้เข้ามาดูระบบของตลาดหลักทรัพย์ฯ ไทยว่ามีมาตรฐานเทียบเท่าสากลหรือไม่ หรือมีจุดไหนที่ต้องแก้ไข โดยคาดว่าจะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน
แนวโน้มตลาดฟื้นตัว
ดร.ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร และหัวหน้าสายงานพัฒนาความยั่งยืน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยสถิติสำคัญตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเดือนพฤศจิกายน 2566 โดย ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2566 SET Index ปิดที่ 1,380.18 จุด ปรับลดลง 0.1% จากเดือนก่อนหน้า และปรับลดลง 17.3% เมื่อเทียบกับปี 2565 โดยมีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 45,804 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 28.9% ขณะที่มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในช่วง 11 เดือนแรกปี 2566 อยู่ที่ 54,399 ล้านบาท
นักลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 19 ที่ระดับ 53.37% ของมูลค่าการซื้อขายรวม ตามด้วยผู้ลงทุนรายย่อยในประเทศ 31.16% รองลงมาคือนักลงทุนสถาบันในประเทศ และบริษัทหลักทรัพย์ โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 21,132 ล้านบาท รวม 11 เดือนของปีนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวม 192,153 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหลักทรัพย์ฯ ประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปี 2567 เชื่อว่าจะกลับมามีทิศทางที่ดีขึ้น จากปัจจัยสนับสนุนทั้งเศรษฐกิจในประเทศ ที่มีมาตรการกระตุ้นจากรัฐบาล รวมถึงการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะกลับมาดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ จากการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.5% และอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำจะช่วยทำให้ต้นทุนของบริษัทจดทะเบียนไม่เพิ่มขึ้น ทำให้แนวโน้มผลประกอบการของบจ.จะดีกว่าปีที่แล้ว
ขณะที่มีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม คือการประชุมธนาคากลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งล่าสุดนักวิเคราะห์ 99% คาดว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 12-13 ธันวาคมนี้ แต่ต้องดูสัญญาณว่าเฟดจะมีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยหรือปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะมีผลต่อตลาดทุนทั่วประเทศ ปัจจัยเสี่ยงอีกเรื่องหนึ่ง คือสถานการณ์สงครามจะขยายวงหรือไม่ รวมทั้งราคาน้ำมันจะปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือไม่ เป็นประเด็นที่ต้องติดตามต่อไป
“สิ่งที่จะเกิดขึ้น หากเฟดคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรือส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง จะทำให้บอนด์ยิลด์สหรัฐตกลงทันที ทำให้นักลงทุนกล้าจะลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น และกระจายการลงทุนในภูมิภาคมากขึ้น รวมทั้งต้องจับตาเศรษฐกิจจีนที่อาจจะฟื้นตัว และส่งผลดีต่อประเทศไทย ทั้งในเรื่องการส่งออก และการท่องเที่ยว” ดร.ศรพลกล่าว
นอกจากนี้ มีปัจจัยสนับสนุนจากกองทุน ThaiESG รวมถึงการประกาศดัชนี DJSI ที่มีบริษัทเข้าคำนวณดัชนีเพิ่มขึ้นจาก 24 เป็น 26 บริษัท เพือสนับสนุนการลงทุนเพื่อความยั่งยืนในระยะยาว
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : สารัชถ์ รัตนาวะดี แห่งอาณาจักร GULF แชมป์เศรษฐีหุ้นไทย 5 ปีซ้อน ครองมูลค่าหุ้น 1.9 แสนล้าน
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine