จับชีพจรเศรษฐกิจทั่วโลก บริหารพอร์ต-คว้าโอกาสลงทุน จากงานสัมมนาแห่งปีของเดอะวิสดอมกสิกรไทย - Forbes Thailand

จับชีพจรเศรษฐกิจทั่วโลก บริหารพอร์ต-คว้าโอกาสลงทุน จากงานสัมมนาแห่งปีของเดอะวิสดอมกสิกรไทย

​อีกไม่กี่อึดใจ ก็จะเข้าสู่ปี 2025 กันแล้ว โจทย์ใหญ่ของนักลงทุนเวลานี้ คือ การจับสัญญาณการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย หลังจากการก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ของที่ โดนัลด์ ทรัมป์ จะส่งผลต่อนโยบายเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ ที่อาจสะเทือนเสถียรภาพของตลาดโลกและส่งผลต่อการลงทุนในไทย ที่ขณะนี้ยังเผชิญความท้าทายรอบด้านจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ช้ากว่าประเทศอื่นในภูมิภาค ประกอบกับภาวะหนี้ครัวเรือน และหนี้สาธารณะที่สูง และการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ

เดอะวิสดอมกสิกรไทย จึงได้จัดงานสัมมนาแห่งปี "Wealth Forum Thailand 2025 : The New Frontiers of Investment Opportunity" เจาะลึกทุกมิติที่ส่งผลกระทบต่อนักลงทุน กับผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ การเงิน และการลงทุน จับสัญญาณความผันผวน เจาะลึกทิศทางการลงทุน ผ่านมุมมองผู้เชี่ยวชาญระดับโลก ทั้งทีม K WEALTH ซึ่งเป็นศูนย์ข้อมูลด้านการเงินและการลงทุนของธนาคารกสิกรไทย และได้เชิญ J.P. Morgan Asset Management กับ Lombard Odier องค์กรชั้นนำระดับโลกซึ่งเป็นพันธมิตรของธนาคารกสิกรไทย มาร่วมวงสัมมนาด้วย


​ดร. พิพัฒน์พงศ์ โปษยานนท์ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย

​เริ่มจาก ดร. พิพัฒน์พงศ์ โปษยานนท์ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย ฉายภาพรวมให้เห็นว่า "หลังจากพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม 2025 คาดว่าจะเห็นนโยบายเร่งด่วนใน 100 วันแรก ของโดนัล ทรัมป์ เช่น นโยบายการลดเงินสนับสนุนทางทหารกับชาติพันธมิตร นโยบายกีดกันผู้อพยพเข้าเมือง นโยบายด้านพลังงาน รวมถึงการลดภาษี ซึ่งโดยรวมแล้วจะสร้างแรงกดดันเงินเฟ้อให้กับเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากต้นทุนการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น ค่าจ้างแรงงานที่สูงขึ้น รวมถึงการขาดดุลการคลังที่สูงขึ้น ซึ่งแนวโน้มเงินเฟ้อที่สูงขึ้น จะทำให้ภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะดีขึ้นตามนโยบายของทรัมป์ยังมีความไม่แน่นอนอยู่"


​Jin Yuejue, Managing Director, Asia Head of the Investment Specialist, Multi-Asset Solution Group
จาก J.P. Morgan Asset Management

ด้าน Jin Yuejue, Managing Director, Asia Head of the Investment Specialist, Multi-Asset Solution Group จาก J.P. Morgan Asset Management ฉายให้เห็นภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2025 ว่า จะเป็นปีที่ทุกอย่างกลับสู่ภาวะปกติมากขึ้น จากที่ก่อนหน้านี้เศรษฐกิจโลกต้องเผชิญกับทั้งวิกฤติโรคระบาด ภาวะดอกเบี้ยสูง เพื่อสกัดเงินเฟ้อ และซัพพลายเชนดิสรัปชั่น แต่ในปี 2025 คาดว่า การเติบโตจะกลับมา โดยเฉพาะถ้ามองไปฝั่งสหรัฐ ตัวเลขการจ้างงาน และการใช้จ่ายภาคประชาชน ล้วนไปได้ดี

"ถ้าเปรียบเทียบเศรษฐกิจโลกในปี 2025 เหมือนสภาพอากาศที่สดใส มีแดดออก (Sunny) แต่ขณะเดียวกันยังมีเมฆหมอก (Cloudy) ในบางพื้นที่ จากความท้าทายและผันผวนในบางภูมิภาค เช่น ยุโรปที่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง, การฟื้นตัวของญี่ปุ่นที่ตลาดไม่ได้ตอบรับ เป็นต้น ดังนั้น ทิศทางการลงทุนในปีนี้ แม้เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ก็ยังต้องลงทุนด้วยความระมัดระวัง

​Mr. Homin Lee, Senior Macro Strategist จาก Lombard Odier

สอดคล้องกับมุมมองของ Mr. Homin Lee, Senior Macro Strategist จาก Lombard Odier ที่เห็นภาพรวมคล้ายๆ กัน แต่แตกต่างที่มุมมองเกี่ยวกับสหรัฐฯ จากที่ก่อนหน้านี้หลายคนมองว่าสหรัฐเข้าสู่ภาวะที่ไม่ได้เติบโตร้อนแรง แต่ก็ไม่ได้เติบโตลดลง แต่การกลับมาของโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมาพร้อมนโยบายหลากหลาย จะสร้างผลบวกและผลลบต่อเศรษฐกิจที่ไม่ใช่แค่สหรัฐฯ แต่กระทบกับเศรษฐกิจทั่วโลก โดยเฉพาะนโยบายลดการเก็บภาษีภาคนิติบุคคลส่งผลให้ภาครัฐมีรายได้ลดลง จึงต้องลดการสนับสนุนภาคเทคโนโลยีสีเขียว และเพิ่มภาษีนำเข้าจากต่างประเทศ เพื่อนำรายได้มาชดเชย ซึ่งเป็นประเด็นที่น่าจับตาว่าจะส่งผลกระทบอย่างไรในระยะยาวอย่างไร โดยเฉพาะประเทศที่เป็นคู่ค้า ซึ่งประเมินว่าประเทศที่สหรัฐฯขาดดุลการค้า จะต้องเจอความท้าทายอย่างแน่นอน

"ส่วนภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งปัจจัยหลักมาจากการขึ้นภาษีการค้า จะไม่ได้กระทบแค่สหรัฐฯ แต่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าทรัมป์ไม่สามารถขึ้นภาษีการค้าได้เต็มที่ 60% เหมือนที่หาเสียงไว้ ดังนั้นเงินเฟ้ออาจจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่รับไหว โดยคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (FED) จะชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาก แต่ในฝั่งที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบหนักคือยุโรป ต้องมีการปรับลดดอกเบี้ย ส่วนญี่ปุ่น ต้องวางกลยุทธ์การค้าระหว่างประเทศใหม่ ทำให้ค่าเงินเยนอยู่ในระดับเหมาะสม เพื่อให้สามารถรักษาศักยภาพในการแข่งขันที่จะส่งออก เช่นเดียวกับจีน ต้องจับตาดูว่ามาตรการของโดนัลด์ ทรัมป์ จะเป็นอย่างไร คาดว่าจะเห็นนโยบายอย่างเต็มรูปแบบในช่วงกลางปี 2025"

​ด้านคุณ JIN เสริมว่า ปี 2023 ทุกประเทศเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อ แต่ตอนนี้สถานการณ์เงินเฟ้อทั่วโลกชะลอตัวลง อย่างไรก็ตาม การมาของโดนัลด์ ทรัมป์จะกระทบกับภาวะเงินเฟ้อ โดยเฉพาะนโยบายการจัดการกับผู้อพยพ และการเก็บภาษีการค้า ซึ่งถ้าสถานการณ์เงินเฟ้อกลับมา จะส่งผลกระทบต่อการปรับ-ลดดอกเบี้ยของ FED ทั้งนี้คาดว่าถ้าสถานการณ์เงินเฟ้อกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง ในปีหน้า FED น่าจะชะลอการปรับลดดอกเบี้ย อยู่ที่ไตรมาสละ 1 ครั้ง

​ในประเด็นของความเสี่ยงจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งสองเห็นพ้องว่า ยังคงต้องจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างสหรัฐ*จีน และการคว่ำบาตรอิหร่าน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ความเสี่ยงจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ สามารถมองให้เป็นทั้งความเสี่ยงในตลาด และเป็นโอกาสสำหรับคนที่การลงทุนเช่นเดียวกัน

​สำหรับคำแนะนำในการลงทุน ในฝั่งของ Lombard Odier มองว่า การมาของทรัมป์ เท่ากับความผันผวนที่มากขึ้น ดังนั้นจะต้องกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม โดยการกระจายความเสี่ยงในที่นี่ ไม่ใช่แค่ความหลากหลายของสินทรัพย์ แต่ในแต่ละสินทรัพย์ก็ควรกระจายด้วยเช่นกัน จึงแนะนำหุ้นสหรัฐฯ และญี่ปุ่น แต่ไม่แนะนำหุ้นยุโรป ในด้านตราสารหนี้ แนะนำหุ้นกู้ภาคเอกชนที่มีคุณภาพ ส่วนค่าเงิน แนะนำฟรังก์สวิส เยนญี่ปุ่น รวมทั้งสินทรัพย์ทางเลือก เช่น ทองคำ, อสังหาริมทรัพย์ในสวิตเซอร์แลนด์

​สอดคล้องกับด้าน J.P. Morgan Asset Management ให้น้ำหนักกับหุ้นสหรัฐฯ และญี่ปุ่น แต่ไม่แนะนำหุ้นยุโรป เนื่องจากมีปัญหาเชิงโครงสร้าง ในส่วนของตราสารหนี้ แนะนำหุ้นกู้ของภาคเอกชนที่มีคุณภาพสูง เพราะถ้าภาพใหญ่เศรษฐกิจไปได้ กิจกรรมภาคเอกชนมีผลประกอบการที่ดีขึ้น

"หลายคนอาจจะมองว่า Valuation หุ้นสหรัฐฯในตอนนี้แพง แต่เป็นหุ้นที่มาพร้อมกับ Fundamental พื้นฐานของธุรกิจนั้นๆ ส่วนตัวชอบหุ้นสหรัฐฯ เพราะผลประกอบการยังโต และเชื่อว่าหุ้นสหรัฐฯ จะกลับมาขึ้นแบบกระจายตัว ไม่ได้ขึ้นกระจุกตัวเหมือนที่ผ่านมา จึงแนะนำให้มองหาหุ้นที่มี Fundamental ขนาดกลางหรือเล็ก"


​นักลงทุนไทยจัดพอร์ตอย่างไร เพื่อคว้าโอกาสการลงทุน

เห็นมุมมองภาพรวมของเศรษฐกิจโลกและกลยุทธ์การลงทุนไปแล้ว มาถึงมุมมองจาก 3 ตัวแทนของวิทยากรไทยต่อการวางแผนการลงทุน เริ่มจากคุณวจนะ วงศ์ศุภสวัสดิ์, CFA รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย มองว่า การมาของโดนัลด์ ทรัมป์ สร้างความผันผวนให้กับเศรษฐกิจโลก โดยมีทั้งประเทศที่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ ดังนั้นในฐานะนักลงทุนสามารถเลือกจับจังหวะเพื่อคว้าโอกาสที่ซ่อนอยู่ให้ได้

"เพื่อรับมือกับตลาด แนะนำการลงทุนในรูปแบบ Building a Resilience Portfolio เช่น K-FIXEDPLUS เน้นลงทุนตราสารหนี้ที่ได้ประโยชน์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง K-GSELECT เน้นลงทุนในหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ที่แข็งแกร่งทั่วโลก K-PROPI เน้นลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ กอง REIT ทั่วโลก เพื่อกระจายความเสี่ยง ส่วนกลุ่ม AI และเทคโนโลยียังดีอยู่ อาจจะไม่ได้โตแรง แต่มาในลักษณะการเติบโตแบบกระจายตัวมากขึ้น ขณะที่ยุโรป เป็นกลุ่มที่เติบโตต่ำ จึงไม่แนะนำ"


​ด้านคุณวีระพล บดีรัฐ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ในภาวะตลาดผันผวนเช่นนี้ แนะนำให้ลงทุนแบบกระขายตัวมากกว่ากระจุกตัว ด้วยเครื่องมือ Core - Satellite ซึ่งมีหลักการง่ายๆ คือสมมติมีเงิน 100 บาท แนะนำให้แบ่งพอร์ตลงทุนเป็น 2 ส่วนหลัก คือส่วนของ Core สัดส่วน 70% เน้นลงทุนระยะยาวผ่านผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนมาช่วยบริหารพอร์ตลงทุน ส่วน Satellite สัดส่วน 30% เน้นจับจังหวะเข้าลงทุน โดยสามารถบริหารการลงทุนได้ด้วยตนเอง ผ่านหลากหลายสินทรัพย์ ทั้งหุ้น ทองคำ ตราสารหนี้ ฯลฯ

"ยกตัวอย่างการลงทุน Core -Satellite Portfolio สำหรับ Core แนะนำลงทุนกลุ่ม Multi Asset ผ่านกองทุน K-WealthPLUS Series, K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP, K-WPULTIMATE เน้นถือครองการลงทุน 3-5 ปี ส่วน Satellite อาจจะลงทุนกลุ่ม Fixed Income ผ่านกองทุน K-GINCOME-A(A)*, K-FIXEDPLUS-A, K-FIXED-A และ กลุ่ม Equity ผ่านกองทุน K-VIETNAM, K-GINFRA-A(D), K-HIT-A(A), K-GHEALTH, K-USA-A(A), K-GOLD-A-(A) ทั้งนี้ในช่วงเศรษฐกิจดีๆ อาจจะปรับลดปริมาณการถือ Core เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนจากการจับจังหวะการลงทุนมากขึ้น แต่ช่วงที่เกิดวิกฤติ หรือสงคราม จัดสัดส่วนไปอยู่ที่ Core ให้มากหน่อย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การลงทุน Core -Satellite Portfolio เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราสามารถลงทุนได้ในทุกสภาวะ"

​ปิดท้ายด้วยคุณสรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ.หลักทรัพย์กสิกรไทย มองว่า 3 เครื่องยนต์ที่คิดว่าไปได้ คือ 1.การบริโภคภายในประเทศ ที่ในปี 2025 จะได้อานิสงส์จากเงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 2 ซึ่งคิดเป็นเม็ดเงิน 1.5 แสนล้านบาท 2.การลงทุนจากภาครัฐ 3.การลงทุนจากภาคเอกชน นอกจากนี้ยังประเมินว่าปี 2025 ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสอยู่ที่ 1,520 จุด

"สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย สำหรับปีหน้า แนะนำว่าไม่ควรคาดหวังกับกับหุ้นที่มีการเติบโตของรายได้ แต่ให้เน้นหุ้นที่มีความสามารถในการควบคุมต้นทุนได้ดี เช่น TASCO และ OSP ที่จะได้รับประโยชน์จากต้นทุนน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติที่ลดลง, TIDLOR ได้ประโยชน์จากทิศทางการพักชำระหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย, CPALL ได้ประโยชน์จากการเป็นกลุ่มค้าปลีกที่เน้นสัดส่วนการขายอาหารเป็นหลัก จึงไม่ได้รับผลกระทบจากการเข้ามาของสินค้าจีน ที่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ไม่ใช่ของกิน แต่เป็นพวกของใช้ วัสดุก่อสร้าง และ PR9 ที่มีโอกาสเติบโตจาก Capacity ที่ไม่ต้องขยายการลงทุนใหม่ แต่สามารถรองรับผู้ป่วย OPD และ IPD ได้มาก"

ทั้งหมดนี้ คือ ประเด็นที่น่าสนใจจากงาน "Wealth Forum Thailand 2025 : The New Frontiers of Investment Opportunity" ซึ่งนอกจากจะชี้ให้เห็นภาพรวมของโลกการลงทุนที่จะเกิดขึ้นในปี 2025 และกลยุทธ์การลงทุนที่น่าสนใจ อีกหนึ่งในหัวใจสำคัญคือ การกระจายความเสี่ยงที่เหมาะสม เพื่อบริหารพอร์ตการลงทุน สำหรับสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจ ต่อยอดความมั่งคั่งให้แข็งแกร่งอย่างยั่งยืน