ทรีนีตี้ ประเมิน SET เดือนมิ.ย.ให้กรอบดัชนีมีแนวรับที่ 1,130 และ 1,100 จุด แนวต้านที่ 1,180 และ 1,210 จุด แนะนำนักลงทุนใช้กลยุทธ์ “ขึ้นขาย-ลงซื้อ” ชี้ครึ่งเดือนแรกลุ้นดัชนีรีบาวด์ขึ้น หลังจบการปรับพอร์ตตาม MSCI ส่วนครึ่งเดือนหลังการเมืองร้อน ลดน้ำหนัก DELTA ถ่วง!!! พร้อมแนะ 5 กลุ่มหุ้นลงทุนได้
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเดือนมิถุนายนมีโอกาสแกว่งรีบาวด์ขึ้นได้ในช่วงครึ่งเดือนแรก หลังจากผ่านพ้นช่วงเวลาการปรับพอร์ตตามดัชนี MSCI ของนักลงทุนต่างชาติ และยังไม่มีปัจจัยข่าวร้ายด้านสงครามการค้ามากนัก แต่พอก้าวเข้าสู่ช่วงกลางเดือน อาจต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้น จากปัจจัยการเมืองในประเทศที่อาจเริ่มมีความผันผวนมากขึ้น และปัจจัยเชิงเทคนิคในช่วงปลายเดือน ที่นักลงทุนสถาบันในประเทศอาจมีการทยอยลดน้ำหนักหุ้น DELTA เพื่อรองรับกับการคำนวณดัชนีรูปแบบใหม่ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป
ทั้งนี้ ประเมินกรอบการแกว่งตัวของ SET เดือนนี้มีแนวรับอยู่ที่ 1,130 และ 1,100 จุด ส่วนแนวต้านประเมินที่ 1,180 และ 1,210 จุด แนะนำนักลงทุนในใช้กลยุทธ์ “ขึ้นขาย-ลงซื้อ” ตามกรอบแนวต้านแนวรับดังกล่าว ทั้งนี้ ปัจจัยคาดหวังที่อาจเป็นตัวช่วยประคอง SET ในเดือนนี้ได้แก่ เม็ดเงินใหม่ที่ไหลเข้าสู่กองทุน Thai ESGX ในช่วงโค้งสุดท้าย
อย่างไรก็ตาม มี 5 กลุ่มหุ้นที่น่าสนใจประจำเดือนนี้ ได้แก่
1) กลุ่ม Global cyclical ที่อิงกับภาพเศรษฐกิจโลก ซึ่งเราประเมินว่าจะมีความเสี่ยง Downside risk จำกัดมากกว่าเศรษฐกิจไทย ได้แก่ PTTGC, SCC, HANA
2) หุ้นโรงแรมที่มีการกระจายรายได้ไปยังต่างประเทศในระดับสูง ได้แก่ MINT
3) กลุ่ม Defensive ภายในประเทศ ที่ Valuation อยู่ในโซนต่ำ เช่น BDMS, CPALL, GPSC
4) กลุ่มหุ้นที่เราคาดการณ์ว่าจะถูกนำเข้าสู่ดัชนี SET50 ในรอบถัดไป ได้แก่ BCP, TCAP
5) หุ้นขนาดใหญ่ที่จะได้ประโยชน์จากการเกลี่ยน้ำหนักออกจากหุ้น DELTA ได้แก่ ADVANC
ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่น่าติดตามในเดือนมิถุนายน มีทั้งหมด 9 ปัจจัย ได้แก่
- พัฒนาการของการของสงครามการค้า อาทิ คำตัดสินของศาลอุทธรณ์สหรัฐฯต่อความชอบธรรมในการเก็บภาษีของปธน.ทรัมป์ การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับประเทศต่างๆ ก่อนหน้าจะครบกำหนดการเจรจาภาษี Reciprocal tariff 90 วันในวันที่ 9 กรกฎาคม
- ความเป็นไปได้ของการปรับครม. คดีฮั้วสว. และการนัดไต่สวนของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณีของคุณทักษิณ ชินวัตร ในวันที่ 13 มิถุนายน รวมไปถึงปัจจัยความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ระหว่างไทยกับกัมพูชา
- การประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันที่ 5 มิถุนายน ล่าสุดตลาดการณ์ว่าจะมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก Deposit Facility ลงสู่ระดับ 2.00% จากเดิมที่ 2.25%
- การประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ในวันที่ 16-17 มิถุนายน ซึ่งคาดว่า BoJ จะมีมติคงดอกเบี้ยต่อไปที่ระดับ 0.50%
- การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในวันที่ 17-18 มิถุนายน ซึ่งคาดว่า Fed จะมีมติคงดอกเบี้ยต่อไปที่ระดับ 4.25 - 4.50% ทั้งนี้ แนะนำติดตามประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจ และรายงาน Dot plots ที่จะออกมาในครั้งนี้
- การประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ในวันที่ 19 มิถุนายน ล่าสุดตลาดการณ์ว่าจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับเดิม 4.25% ไปก่อน หลังจากเพิ่งปรับลดลงในการประชุมครั้งที่ผ่านมา
- การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย (กนง.) ในวันที่ 25 มิถุนายน ซึ่งคาดว่าจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยไปก่อนที่ระดับ 1.75% หลังจากมีการปรับลดดอกเบี้ยลงมาแล้ว 2 ครั้งติดกัน ทั้งนี้ แนะนำติดตามคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจรอบใหม่ที่จะออกมาจากที่ประชุมครั้งนี้ด้วย
- โค้งสุดท้ายของกองทุน Thai ESGX ว่าจะมีมีเม็ดเงินใหม่ไหลเข้ามาสมทบตลาดหุ้นไทยตามที่หลายฝ่ายคาดหวังหรือไม่
- การปรับลดน้ำหนักหุ้น DELTA ของกองทุน Passive/Index Funds ในประเทศช่วงปลายเดือน เพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนรูปแบบดัชนี SET50 และ SET100 ไปสู่ดัชนีแบบ Capped weight index มองปรากฏการณ์นี้อาจกดดันดัชนี SET ในภาพรวมช่วงครึ่งหลังของเดือนมิถุนายนได้
ภาพ : investing, Image by freepik
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : เศรษฐกิจไทยเสี่ยงโตต่ำกว่าเดิม! กกร. หั่นเป้า GDP ไทยปี 68 อีกรอบเหลือเพียง 1.5-2.0%
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine