ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผยผลการดำเนินงาน บจ. ใน SET ไตรมาส 1 ปี 2568 ยอดขายลดลง 3.6% แต่กำไรสุทธิยังเพิ่ม 3.6% สาเหตุเพราะราคาน้ำมันที่ลดลง ส่งผลให้หมวดธุรกิจพลังงานและปิโตรเคมีภัณฑ์ และภาพรวมมีกำไรจากการดำเนินงานลดลง ส่วน บจ. ใน mai พบว่า ยอดขายรวมลดลง 4.6% กำไรสุทธิร่วงลงแรง 59.0% เนื่องจากบางบจ.มีรายการขาดทุนจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ทางการเงินและสินทรัพย์ดิจิทัล จากปีก่อนที่เคยเป็นรายการกำไร
นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า บจ. จำนวน 812 บริษัท คิดเป็น 97.9% จากทั้งหมด 829 บริษัท (รวม SET และ mai ที่มีกำหนดส่งงบการเงิน ณ สิ้นงวด 31 มีนาคม 2568 และไม่รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน และงบการเงินไม่ตรงรอบปีปฎิทิน) นำส่งผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1 ปี 2568 พบว่ามี บจ. รายงานกำไรสุทธิ 605 บริษัท คิดเป็น 74.5% ของ บจ. ที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด
ผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2568 เทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน บจ. ใน SET มียอดขาย 4,175,056 ล้านบาท ลดลง 3.6% ขณะที่ต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายการขายและบริหารลดลง 3.0% และ 1.0% ตามลำดับ ทำให้ บจ. มีกำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core profit) 406,837 ล้านบาท ลดลง 11.1% อย่างไรก็ตาม บจ. มีกำไรสุทธิ 261,536 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.6% เนื่องจาก บจ. ขนาดใหญ่หลายแห่งมีกำไรจากตราสารทางการเงินและการลงทุน อีกทั้งกลุ่มธุรกิจทั่วไป (ไม่รวมหมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค หมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์) มีผลประกอบการดีขึ้น ขณะที่ในด้านฐานะการเงินของกิจการ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 บจ. ไทยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน หรือ D/E ratio (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ที่ 1.51 เท่า เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2568 ที่ 1.50 เท่า
“ภาพรวมผลประกอบการในไตรมาส 1 ปี 2568 กลุ่มธุรกิจทั่วไปยังคงเติบโตได้ดี โดยได้รับประโยชน์จากการท่องเที่ยวที่ค่อยๆ ฟื้นตัว ทั้งหมวดอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค ค้าปลีก พื้นที่เช่า การบิน และโทรคมนาคม แต่มีความท้าทายจากการแข่งขันที่สูงขึ้นและแรงกดดันต่อความสามารถในการทำกำไร นอกจากนี้ บจ. ขนาดใหญ่หลายแห่งมีกำไรจากการบริหารตราสารทางการเงินและการลงทุน จึงทำให้ในภาพรวมกำไรสุทธิของ บจ. ใน SET ยังคงเติบโตจากปีก่อน อย่างไรก็ดี กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันและปิโตรเคมี ซึ่งได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันและส่วนต่างค่าการกลั่นปรับลดลง อีกทั้งมีความต้องการใช้ไฟฟ้าชะลอตัว ทำให้ภาพรวม บจ. ไทยมียอดขายและกำไรจากการดำเนินงานชะลอลงจากปีก่อน” นายอัสสเดชกล่าว
นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนใน mai จำนวน 216 บริษัท คิดเป็น 96% จากทั้งหมด 224 บริษัท (ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC บริษัทที่ปิดงบไม่ตรงงวด และบริษัทที่ไม่ส่งงบ) นำส่งผลการดำเนินงาน
ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2568 ของ บจ. mai เปรียบเทียบกับปีก่อน มียอดขายรวม 50,432 ล้านบาท ลดลง 4.6% ต้นทุนขาย 37,366 ล้านบาท ลดลง 3.3% กำไรขั้นต้น 13,066 ล้านบาท ลดลง 8.3% ขณะที่ บจ. มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 3.3% ส่งผลให้ บจ. มีกำไรจากการดำเนินงาน 3,381 ล้านบาท ลดลง 30.6% และมีกำไรสุทธิรวม 1,756 ล้านบาท ลดลง 59.0% ดังนั้นในงวดไตรมาส 1/2568 บจ. mai จึงมีอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (OPM) และ อัตรากำไรสุทธิ (NPM) ลดลง เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
“ผลการดำเนินงาน บจ. ใน mai ไตรมาส 1/2568 แม้ว่ายอดขายรวมจะลดลง แต่พบว่ามี บจ. ที่มียอดขายเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนจำนวน 114 คิดเป็น 53% ของบริษัทที่นำส่งงบการเงิน และ บจ. รายงานกำไรสุทธิจำนวน 151 บริษัท คิดเป็น 70% ของบริษัทที่นำส่งงบการเงิน นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานของ บจ. บางแห่งมีการปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และมีผลกระทบในสัดส่วนสูงเมื่อเทียบกับผลประกอบการรวมของ บจ. ทั้งหมด โดยพบว่า บจ. บางแห่งมีการส่งมอบโครงการตามสัญญาเกือบจะครบแล้ว ทำให้ผลประกอบการงวดนี้ลดน้อยลง และบาง บจ. มีรายการขาดทุนจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ทางการเงินและสินทรัพย์ดิจิทัล จากปีก่อนที่เคยเป็นรายการกำไร อย่างไรก็ตาม งวดไตรมาสนี้ มี 4 กลุ่มอุตสาหกรรมยังสามารถรักษาการเติบโตของยอดขาย ได้แก่ กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มบริการ และกลุ่มเทคโนโลยี” นายประพันธ์กล่าว
ในส่วนของฐานะทางการเงิน บจ. mai มีสินทรัพย์รวม 334,631 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.7% จากสิ้นปี 2567 และโครงสร้างเงินทุนรวมยังอยู่ในเกณฑ์ที่แข็งแรง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E ratio) อยู่ที่ 0.79 เท่า เท่ากับสิ้นปี 2567
ปัจจุบันมี บจ. ใน mai 224 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 29 พฤษภาคม 2568) ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 241.75 จุด มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (market capitalization) อยู่ที่ 237,703 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 548 ล้านบาทต่อวัน
ภาพ: ตลท.
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : วิจัยกรุงศรีหั่นเป้าเศรษฐกิจไทยปี 68 เหลือ 2.1% จากเดิม 2.7% เพราะโลกเสี่ยงสูง-ปัญหาเชิงโครงสร้างของไทย
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine