ก.ล.ต. จ่อออกเกณฑ์ใหม่! เร่งเปิดข้อมูลหุ้นติด ‘จำนำ-ค้ำประกัน’ หลังพบเคสกระทบราคาร่วง คาดเริ่มใช้ปี 68 - Forbes Thailand

ก.ล.ต. จ่อออกเกณฑ์ใหม่! เร่งเปิดข้อมูลหุ้นติด ‘จำนำ-ค้ำประกัน’ หลังพบเคสกระทบราคาร่วง คาดเริ่มใช้ปี 68

ช่วงที่ผ่านมา หุ้นบางบริษัทมีประเด็นปัญหา เช่น ผู้ถือหุ้นรายใหญ่นำหุ้นไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันหนี้ แต่เมื่อราคาหุ้นร่วงลงจึงถูกบังคับขาย (ตามเงื่อนไขที่ตกลงไว้) และบางเคสนำสู่ราคาหุ้นร่วงลงจนกระทบต่อนักลงทุนรายย่อย ส่งผลให้หน่วยงานผู้กำกับอย่าง ก.ล.ต. รวมถึง ตลาดหลักทรัพย์ฯ หารือร่วมกัน และเตรียมร่างกฎเกณฑ์ใหม่ที่จะเปิดเผยข้อมูล ธุรกรรมที่ใช้หุ้นเป็นหลักประกันหนี้ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจของนักลงทุน คาดว่าภายในสิ้นปี 2567 นี้จะมีความชัดเจน ทั้งหลักการและขอบเขตต่างๆ รวมถึงจะเริ่มบังคับใช้ในปี 2568


    นายเอนก อยู่ยืน รองเลขาธิการ ในฐานะโฆษกสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ก.ล.ต. อยู่ระหว่างศึกษาการออกหลักเกณฑ์ใหม่เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องรายงานธุรกรรมการใช้หุ้นเป็นหลักประกันการชำระหนี้กู้ยืม แม้การกู้ยืมเงินโดยใช้หุ้นเป็นหลักทรัพย์คำ้ประกันสามารถทำได้ตามสิทธิของผู้ถือหุ้น แต่ปัจจุบันพบว่ามีการนำหุ้นไปวางเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันหนี้กับผู้รับฝากทรัพย์สิน หรือ Custodian (ทั้งในและต่างประเทศ) โดยมีสัญญาที่ไม่รัดกุมพอ ซึ่งบางกรณีนำไปสู่การบังคับขาย (ทำให้ราคาหุ้นร่วงลง)

    ดังนั้นจากเหตุนี้ ก.ล.ต. จึงมองว่ามีส่วนที่ควรระมัดระวัง และจะเข้าไปกำกับดูแลเพิ่มเติมโดยอยู่ระหว่างการพิจารณาเงื่อนไขต่างๆ ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่าจะทำในรูปแบบขอบเขตครอบคลุมเพียงใด ใช้หลักกฎหมายใด ซึ่งจะรวมถึงลักษณะของผู้ที่ต้องรายงานข้อมูล เช่น กำหนดให้ผู้ถือหุ้นใหญ่ที่เป็นผู้บริหาร ผู้ถือหุ้นใหญ่ กรรมการ ฯลฯ หรือธุรกรรมสัดส่วนเท่าใดจึงจะมีนัยสำคัญต่อหุ้นและต้องรายงาน เป็นต้น

    ในหลักการ รายงานนี้เกิดขึ้นเพื่อให้แก่นักลงทุนสามารถพิจารณาเพื่อประกอบการตัดสินใจได้ โดยอาจต้องพิจารณาถึงผู้ทำธุรกรรมเหล่านี้ควรมีความรู้ความเข้าใจเพียงใด โดยย้ำว่าธุรกรรมที่มีความซับซ้อนควรต้องดู 1) ความน่าเชื่อถือของคู่สัญญา 2) เงื่อนไข 3) ผลประโยชน์จากหลักทรัพย์จะแบ่งสรรอย่างไร

    เบื้องต้นคาดว่าภายในสิ้นปี 2567 นี้จะมีความชัดเจน ทั้งหลักการและขอบเขตต่างๆ จากนั้นจะเปิดรับฟังความคิดเห็น และคาดว่าจะเริ่มบังคับภายใช้ในปี 2568

นายรองรักษ์ พนาปวุฒิกุล รองผู้จัดการ โฆษก ตลท. (ซ้าย), นายเอนก อยู่ยืน รองเลขาธิการ โฆษก ก.ล.ต. (ขวา)

    นายรองรักษ์ พนาปวุฒิกุล รองผู้จัดการ โฆษกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมาเกิดคำถามจากนักลงทุนรายย่อยว่าทำไมราคาหุ้นตกลง ซึ่งในทางทฤษฎีการนำหุ้นไปเป็นหลักประกันแล้ว หากมีการผิดนัดชำระหนี้จะส่งกระทบต่อราคาหุ้นให้ตกลงได้ โดยปัจจุบันการนำหุ้นไปเป็นหลักประกัน มี 2 ส่วนหลัก ได้แก่

1. การส่งมอบหลักทรัพย์ให้ ‘ผู้ให้กู้’ ถือไว้เป็นหลักประกัน (ไม่ได้โอนสิทธิ)

    1.1) การกู้ยืมกับบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เพื่อซื้อหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ (Margin Loan) จะให้ บล. บันทึกข้อมูลการใช้หุ้นเป็นหลักประกันตามเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง (เช่น ม.195 กฎหมายหลักทรัพย์) ซึ่งบล. จะไม่สามารถนำหุ้นที่เป็นหลักประกันไปทำอย่างอื่นได้

    1.2) การกู้ยืม/ขอวงเงินกับ Credit Provider (Lender) หรือ การจำนำหุ้น แบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่

    - การบันทึกข้อมูลในระบบของศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ หรือ TSD เช่น เมื่อนำหุ้นไปจำนำกับ บล. จะมีการระบุในหุ้นว่า “จำนำ”

    - ไม่บันทึกข้อมูลหลักประกันในระบบ TSD เช่น หากนำหุ้นไปค้ำประกันกับผู้ให้กู้ หรือ Custodianในประเทศ/ต่างประเทศ ซึ่งผู้ให้กู้สามารถสั่งขายหลักทรัพย์ได้เมื่อเกิด Trigger Event ตามที่ได้ตกลงไว้ในสัญญา (ส่วนนี้ที่ ตลท. จะไม่มีข้อมูล)

2. การโอน/ขายหลักทรัพย์ให้กับผู้กู้ (โอนขาด) และจะมีการเปลี่ยนชื่อผู้ถือหลักทรัพย์ 

    ผู้กู้ (เจ้าของหุ้น) อาจตกลงใช้หุ้นไปค้ำประกันการกู้ยืม และโอนหลักทรัพย์เพื่อเป็นหลักประกัน โดยอาจทำสัญญาโอน (คืน) หุ้น เมื่อผู้กู้ทำตามเงื่อนไขในสัญญาครบถ้วน (ส่วนนี้ที่ ตลท. จะไม่มีข้อมูล)

    ที่ผ่านมาพบกรณีว่า ผู้ถือหุ้นใหญ่อาจได้รับการชักชวนจากนายหน้า Share Financing เช่น ชวนจำนำหุ้นมาเป็นหลักประกันโดยให้ดอกเบี้ยจูงใจ ฯลฯ ซึ่งหากไม่เท่าทัน หรือกระทำอย่างไม่รัดกุมอาจเพิ่มความเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นได้

    


เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : สยามคูโบต้า มั่นใจรายได้ปี 67 แตะ 6 หมื่นล้านตามเป้า หลังยอดขาย 3 ไตรมาสโต 23%

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine