SCB EIC มองเศรษฐกิจครึ่งหลังจะโตชะลอลง คงเป้า GDP ไทยปี 67 ที่ 2.5% แม้ช่วงครึ่งปีหลังไทยจะมีการลงทุนภาครัฐเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่สามารถชดเชยส่วนที่หายไปได้ ขณะที่การส่งออกอาจมีความเสี่ยงสูงขึ้นจากเศรษฐกิจโลกที่เริ่มส่งสัญญาณชะลอลง และปัจจัยไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้าตามที่คาดการณ์ไว้ แต่ยังคงมุมมองการขยายตัวเศรษฐกิจไทยปี 2567 ที่ 2.5% โดยครึ่งปีหลังนี้แม้จะมีแรงส่งจากภาคบริการ ที่เป็นผลดีจากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติตามมาตรการของรัฐสนับสนุน เช่น มาตรการวีซ่าใหม่ การขยายเที่ยวบิน และการจัดงานอิเวนต์ขนาดใหญ่ ขณะที่ภาคการส่งออกที่เริ่มกลับมาขยายตัวได้ดีขึ้น
ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ มองว่าเศรษฐกิจไทย ปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลต่อ ได้แก่
- ภาคการผลิตยังไม่เห็นสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน สะท้อนจากความเชื่อมั่นผู้ประกอบการตลาดในประเทศที่ลดลงต่อเนื่อง สินค้าคงคลังยังอยู่ในระดับสูง และมีแรงกดดันจากอุปสงค์ในประเทศ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ได้รับผลกระทบชัดเจนและมีแนวโน้มหดตัวในปีนี้แบบ Broad-based โดยยอดการผลิตถูกฉุดรั้งจากอุปสงค์ในประเทศที่ซบเซาและคาดว่าในปี 2567 จะหดตัวต่ำสุดในรอบ 14 ปี
- แนวโน้มการบริโภคสินค้าคงทนแผ่วลง สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับลดลงต่อเนื่องตามแนวโน้มเศรษฐกิจที่ฟื้นช้าและราคาพลังงานที่ปรับสูงขึ้น
- การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐเริ่มชะลอตัวลง SCB EIC ประเมินว่าการเร่งเบิกจ่ายในช่วงที่เหลือของปีนี้จะไม่สามารถชดเชยการหดตัวรุนแรงในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ที่ประกาศใช้ พ.ร.บ. งบประมาณปี 2567 ล่าช้า
- เศรษฐกิจโลกเริ่มส่งสัญญาณชะลอลง ตามภาพรวมกิจกรรมเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้วชะลอตัวทั้งภาคบริการและภาคการผลิต
นอกจากนี้ ในภาพรวมยังต้องติดตามปัจจัยจากต่างประเทศ โดยเฉพาะผลการเลือกตั้งในหลายประเทศ เช่น
- ผลการเลือกตั้งในสหราชอาณาจักรมีแนวโน้มจะทำให้นโยบายเศรษฐกิจเปลี่ยนจากเดิม
- ผลการเลือกตั้งในฝรั่งเศสจะทำให้ความไม่แน่นอนทางการเมืองสูงขึ้นและความพยายามปฏิรูปเศรษฐกิจที่ดำเนินมาอาจทำได้ไม่ต่อเนื่อง เพราะไม่มีกลุ่มการเมืองใดได้ที่นั่งเบ็ดเสร็จ และแต่ละกลุ่มมีทิศทางนโยบายต่างกันมาก
- ในช่วงปลายปีนี้ยังมีการเลือกตั้งในสหรัฐฯ จะเป็นประเด็นสำคัญต่อเศรษฐกิจและการค้าโลก
ด้านเงินเฟ้อของไทย SCB EIC คาดว่าเงินเฟ้อทั่วไปจะทยอยเร่งตัวกลับสู่เป้าหมายเงินเฟ้อที่ 1-3% ได้ในช่วงสิ้นปี ตามการเร่งตัวของราคาพลังงานจาก 1) ค่าไฟฟ้าในช่วง ก.ย.-ธ.ค. 2567 ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นเป็น 4.65 บาทต่อหน่วย ซึ่งเป็นผลจากราคาก๊าซธรรมชาติที่มีแนวโน้มสูงขึ้นช่วงปลายปี และ 2) ราคาน้ำมันในประเทศที่มีแนวโน้มเร่งตัวตามนโยบายช่วยเหลือที่จะทยอยหมดไป
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีหลัง เมื่อนโยบายการเงินโลกจะลดความตึงตัวลงในช่วงครึ่งปีหลัง จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือน ก.ย. และ ธ.ค. รวม 50 BPS ทาง SCB EIC ประเมินว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 1 ครั้งปลายปีนี้เหลือ 2.25% และปรับลดอีกครั้งเหลือ 2% ในช่วงต้นปี 2568 ตามความเปราะบางของเศรษฐกิจไทยที่จะเพิ่มขึ้นในระยะข้างหน้าจากภาวะการเงินที่ตึงตัวขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้แรงส่งอุปสงค์ในประเทศแผ่วลง อีกทั้งความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยที่จะปรับเพิ่มขึ้นในปีหน้า นอกจากนี้ ต้นทุนการปรับลดดอกเบี้ยจะปรับลดลงจากภาคการเงินที่เข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ ส่งผลให้การลดดอกเบี้ยจะไม่กระตุ้นการก่อหนี้ใหม่
ด้านอัตราแลกเปลี่ยน เงินบาทแข็งค่าขึ้นเร็ว หลังตัวเลขตลาดแรงงานและเงินเฟ้อสหรัฐฯ ออกมาอ่อนแอกว่าคาด ทำให้ประเมินว่าในระยะสั้นเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นในกรอบ 35.70-36.20 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ในระยะต่อไปเงินบาทจะแข็งค่าต่อได้ไม่มาก แม้ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะมีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เนื่องจากยังมีแรงกดดันจากปัจจัยทางการเมือง ทั้งการเลือกตั้งในสหรัฐฯ และการเมืองไทย ณ สิ้นปีนี้จึงมองว่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นที่ราว 35.00-36.00 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
Photo by Vaskar Sam on Unsplash
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ครึ่งปีแรก 67 ต่างชาติลงทุนในไทย 81,487 ล้านบาท ญี่ปุ่นยังครองอันดับหนึ่ง
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine