SCAP เสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ เคาะดอกเบี้ย 4.00-4.70% - Forbes Thailand

SCAP เสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ เคาะดอกเบี้ย 4.00-4.70%

ศรีสวัสดิ์ แคปปิตอล 1969 (“SCAP”) เปิดเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ 2 รุ่น วงเงินไม่เกิน 1,000 ล้าน บาท โดยมีหุ้นกู้สำรองเพื่อเสนอขายเพิ่มเติม จำนวนไม่เกิน 1,000 ล้านบาท ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป (Public Offering)


    ประกอบด้วย หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 1 ปี 6 เดือน ดอกเบี้ย 4.00% ต่อปี และหุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 3 ปี ดอกเบี้ย 4.70% ต่อปี กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ อันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทและหุ้นกู้ระดับ Investment Grade ที่ “BBB+” แนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” เสนอขายให้แก่ประชาชนเป็นการทั่วไป (ผู้ลงทุนทั่วไป และ/หรือ ผู้ลงทุนสถาบัน) เปิดจองซื้อระหว่าง 3-4 และ 7 สิงหาคม 2566 นี้

    วิชิต พยุหนาวีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ศรีสวัสดิ์ แคปปิตอล 1969 (SCAP) เปิดเผยว่า SCAP กำหนดอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ชุดใหม่ วงเงินไม่เกิน 1,000 ล้าน บาท โดยมีหุ้นกู้สำรองเพื่อเสนอขายเพิ่มเติม จำนวนไม่เกิน 1,000 ล้านบาทประกอบด้วย หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 1 ปี 6 เดือน ดอกเบี้ย 4.00% ต่อปี และหุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 3 ปี ดอกเบี้ย 4.70% ต่อปี ซึ่งจะจัดจำหน่ายผ่าน 6 สถาบันการเงิน ได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด โดยหุ้นกู้ทั้ง 2 ชุด จะชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ จองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท และเสนอขายให้แก่ประชาชนเป็นการทั่วไป

    การเสนอขายหุ้นกู้ดังกล่าวเป็นการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งแรกของบริษัท ซึ่งนับเป็นการออกหุ้นกู้ครั้งสำคัญ โดยมีวัตถุประสงค์จะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ไปเพื่อใช้ในการประกอบธุรกิจและขยายกิจการผ่านการปล่อยสินเชื่อใหม่ให้แก่ลูกค้าของบริษัท

    การดำเนินงานในปีนี้ บริษัทพร้อมสร้างการเติบโตผ่านกลยุทธ์ Build Strength from Strength ด้วยการเสริมความแข็งแกร่งผ่านจุดแข็งที่โดดเด่นในธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ใหม่ และสินเชื่อส่วนบุคคล โดยต่อยอดจากความสำเร็จที่ผ่านมา และพัฒนาปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น มุ่งเน้นพัฒนาการบริการและผลิตภัณฑ์เดิมให้ตอบโจทย์ลูกค้าและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้เกิดการใช้บริการซ้ำอย่างต่อเนื่อง และในเชิงกว้างด้วยการเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่จากธุรกิจหลัก และธุรกิจใหม่อื่นๆ เพื่อขยายฐานลูกค้าและสนับสนุนให้พอร์ตสินเชื่อคงค้างรวม สินเชื่อใหม่ และรายได้ เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้

    สำหรับเป้าหมายในปีนี้ บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของสินเชื่อคงค้างรวมจากธุรกิจหลักที่ระดับ 30,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นราว 60% เมื่อเทียบกับปีก่อน และปล่อยสินเชื่อใหม่เพิ่มประมาณ 20,000 ล้านบาท โดยหากบริษัทปล่อยสินเชื่อได้เป็นไปตามเป้าหมาย จะส่งผลให้เกิด Economies of Scale ผลักดันให้ต้นทุนการดำเนินงานลดลง เกิดประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่สูงขึ้น และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

    หลังจากเครือศรีสวัสดิ์ได้ทำการปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ โดยบมจ. ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น (SAWAD) จะเน้นทำธุรกิจจำนำที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ส่วน SCAP เน้นทำธุรกิจสินเชื่อรายย่อยอื่นๆ แบบครบวงจร เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตทางธุรกิจที่ชัดเจนยิ่งขึ้น และทำให้นักลงทุนเข้าใจความแตกต่างในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งแผนในปี 66 เราเล็งปรับบริการและผลิตภัณฑ์เพื่อรองรับทั้งลูกค้าเก่าและใหม่ เพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อขยายฐานลูกค้า และเร่งศึกษาสินเชื่อรายย่อยใหม่ๆเพื่อสร้าง Ecosystem แบบครบวงจรในธุรกิจ พร้อมก้าวสู่การเป็นผู้นำสินเชื่อรายย่อยระดับต้นๆ ของเมืองไทย

    บริษัทมีแผนระยะยาวที่จะมุ่งเน้นการทำกำไรโดยมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีผลตอบแทนสูงในธุรกิจสินเชื่อรายย่อยแบบครบวงจร และมีการกระจายตัวของสัดส่วนทางธุรกิจ ทั้งในแนวลึก และแนวกว้าง เพื่อลดการพึ่งพิงธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง ช่วยกระจายความเสี่ยงและปรับตัวเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สนับสนุนให้เกิดการสร้างรายได้ และผลกำไรแก่บริษัทเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    สถาบันการเงินผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ SCAP กล่าวเพิ่มเติมว่า หุ้นกู้ SCAP ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุน จากการเป็นบริษัทหลักในกลุ่มศรีสวัสดิ์และมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง สำหรับการเสนอขายหุ้นกู้ระหว่างวันที่ 3-4 และ 7 สิงหาคม 2566 นี้ จะมีหุ้นกู้ 2 ชุดให้เลือกจองซื้อตามระยะเวลาที่ต้องการลงทุน มีผลตอบแทนที่น่าพอใจ รวมถึงอันดับความน่าเชื่อถือระดับ Investment Grade ที่ BBB+ แนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2566 ซึ่งช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ลงทุนได้เป็นอย่างดี

    

    อ่านเพิ่มเติม : SCB EIC มองเศรษฐกิจไทย 2566 ครึ่งปีหลังยังดี ท่ามกลางความเสี่ยงรอบด้าน

    ​ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine