PrimeStreet Capital ตั้งเป้าร่วมลงทุนเพิ่มอีก 4-5 บริษัทภายในปี 67 ชูธีม “ความเสี่ยงต่ำ-ผลตอบแทนสูง” - Forbes Thailand

PrimeStreet Capital ตั้งเป้าร่วมลงทุนเพิ่มอีก 4-5 บริษัทภายในปี 67 ชูธีม “ความเสี่ยงต่ำ-ผลตอบแทนสูง”

    PrimeStreet Capital เดินเกมรุกเฟ้นหาบริษัทที่มีศักยภาพสูงพร้อมเติบโตอย่างก้าวกระโดด เติมพอร์ตต่อยอดโอกาสการลงทุน ตั้งเป้าร่วมลงทุนเพิ่มอีก 4-5 บริษัทภายในปี 2567 ชูธีม “ความเสี่ยงต่ำ-ผลตอบแทนสูง” โชว์ผลงานล่าสุด IRR โดดเด่นแตะ 122% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา เผย “Clip” 1 ในบริษัทร่วมลงทุน จ่อเข้าเทรดตลาดหุ้น Nasdaq เร็วๆนี้ หลัง “ZAPP” สตาร์ทอัพ สัญชาติอังกฤษเข้าซื้อขายเมื่อช่วงเมษายนที่ผ่านมา ตอกย้ำอีกขั้นความสำเร็จของนโยบายการลงทุน

    พรสิทธิ์ ภูวนากิจจากร ผู้ร่วมก่อตั้งและหุ้นส่วน PrimeStreet Capital ผู้บริหารกองทุน Global Venture Capital สัญชาติไทย ซึ่งมีสำนักงานทั้งในประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา ในเครือ PrimeStreet Group เปิดเผยว่า ปัจจุบัน Venture Capital เป็นสินทรัพย์ที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก และกระจายอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรมทั่วโลก ทั้งในสหรัฐอเมริกา, ลาตินอเมริกา, ยุโรป รวมถึงเอเชีย นับเป็นโอกาสในการเข้าไปร่วมลงทุน เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดี และต่อยอดการเติบโตที่แข็งแกร่ง ซึ่ง PrimeStreet Capital ได้มุ่งเฟ้นหากิจการหรือบริษัทที่น่าสนใจ มีศักยภาพ และโอกาสการเติบโตสูง เพื่อหาจังหวะที่เหมาะสมในการเข้าไปร่วมลงทุน 

    โดยเน้น 4 ธีมการลงทุนเมกะเทรนด์ ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาความท้าทายของเศรษฐกิจและสังคมในยุคศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วย 1. Healthcare and Wellness, 2. Society and Lifestyle, 3. Environment and Resource และ 4. Impact Technology & Web 3.0 ภายใต้กลยุทธ์การลงทุนเชิงรุก “Active Approach” เพื่อเข้าช่วยเหลือ และแบ่งปันประสบการณ์ด้านกลยุทธ์องค์กร, การดำเนินงาน และการจัดการทางการเงิน เพื่อช่วยลดความเสี่ยง ควบคู่ไปกับการเพิ่มประสิทธิภาพ อันจะนำไปสู่การเติบโตที่แข็งแกร่ง และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจอย่างยั่งยืน 

    รวมถึงกลยุทธ์ “Inside Out-Outside In” เพื่อแสวงหาโอกาสลงทุน นำเทคโนโลยีใหม่ๆ กลับมาต่อยอดให้กับกิจการ หรือภาคธุรกิจภายในประเทศ สร้าง New S-Curve ขับเคลื่อนการเติบโต อันจะไปนำสู่การพัฒนายกระดับศักยภาพ Ecosystem ของไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ซึ่งขณะนี้ PrimeStreet Capital อยู่ระหว่างการคัดกรองกิจการและธุรกิจที่น่าสนใจในการเข้าร่วมลงทุน ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Low Risk High Return” เบื้องต้นคาดว่า จะเข้าร่วมลงทุนเพิ่มเติมอีก 4-5 บริษัท ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพสูงพร้อมเติบโตแบบก้าวกระโดด ภายในปี 2567

    พรสิทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ล่าสุดมูลค่าพอร์ต Global Venture Capital ภายใต้การบริหารจัดการของ PrimeStreet Capital ปรับเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทน IRR ราว 122% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ตามการเติบโตของกิจการบริษัทร่วมลงทุน โดยล่าสุด “NEUVIVO” บริษัทด้านเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotech Company) อยู่ระหว่างยื่นขอรับรองจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา หรือ FDA (Food and Drug Administration)

    ขณะที่ “Clip” ยูนิคอร์นด้าน FinTech ผู้พัฒนาระบบการชำระเงิน (Payment Process) ในเม็กซิโก 1 ในบริษัทร่วมลงทุน ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าสินทรัพย์รวมกว่า 2 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ เตรียมเข้าเทรดในตลาดหุ้น Nasdaq เร็วๆนี้ จากก่อนหน้า “ZAPP” ผู้คิดค้นออกแบบและพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง สตาร์ทอัพ สัญชาติอังกฤษ ได้เข้าซื้อขายในตลาดหุ้น Nasdaq ไปเมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ด้วยมูลค่าบริษัท ณ วันเข้าซื้อขายวันแรกประมาณ 4 ร้อยล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ

    นอกจากนี้ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา PrimeStreet Capital ได้รับความสนใจจากนักลงทุนรายใหญ่ และนักลงทุนสถาบันจากทั่วโลก ทั้งยุโรป, อเมริกา และเอเชีย อย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมา มีนักลงทุนรายใหญ่จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผ่านกระบวนการการอนุมัติและเข้ามาเป็นผู้ลงทุนในกองทุน Global Venture Capital เพิ่มเติมจากกลุ่มของผู้ลงทุนเดิม และคาดว่าช่วงครึ่งหลังของปี 2566 จะมีทั้งนักลงทุนรายใหญ่และนักลงทุนสถาบันทยอยเข้ามาลงทุนในกองทุน Global Venture Capital เพิ่มเติมอีก ซึ่งนับเป็นการตอกย้ำอีกขั้นความสำเร็จในการบริหารการลงทุนของ PrimeStreet Capital ได้อย่างชัดเจน


    อ่านเพิ่มเติม : ตราเพชร มองตลาดวัสดุก่อสร้างครึ่งปีหลังขยายตัวต่อเนื่อง เดินหน้าต่อยอด DIAMOND CAFE สู่บ้านผู้สูงอายุและโฮมออฟฟิศ

    ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine