กรมพัฒนาธุรกิจฯ เผยปี 67 ต่างชาติลงทุนไทย 2.28 แสนล้าน ญี่ปุ่นครองอันดับ 1 ด้านธุรกิจจัดตั้งใหม่พุ่งทำสถิตินิวไฮ - Forbes Thailand

กรมพัฒนาธุรกิจฯ เผยปี 67 ต่างชาติลงทุนไทย 2.28 แสนล้าน ญี่ปุ่นครองอันดับ 1 ด้านธุรกิจจัดตั้งใหม่พุ่งทำสถิตินิวไฮ

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผย ปี 2567 ต่างชาติหอบเงินลงทุนเข้าไทยทั้งปี 2.28 แสนล้านบาท ญี่ปุ่นครองแชมป์อันดับ 1 ด้านภาพรวมธุรกิจจัดตั้งใหม่ของไทยปี 2567 มีจำนวน 87,596 ราย สูงจนทำสถิติใหม่ขณะที่ปี 2568 คาดว่าสถิตินี้จะเพิ่มขึ้นแตะ 90,000 ราย


    นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ด้านการลงทุนของชาวต่างชาติปี 2567 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 คิดเป็นเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 228,106 ล้านบาท มีจ้างงานคนไทย 5,040 คน โดยมีต่างชาติเข้ามาลงทุนไทยจำนวน 954 ราย แบ่งเป็น

    - การลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 227 ราย

    - การขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 727 ราย

    ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับปี 2566 พบว่า ปี 2567 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในไทยเพิ่มขึ้นจากปี 2566 จำนวน 287 ราย (43%) มูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 100,574 ล้านบาท (79%)

    อย่างไรก็ตาม ชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยสูงสุด 5 อันดับแรกในปี 2567 ได้แก่

    1. ญี่ปุ่น 254 ราย คิดเป็น 27% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 121,190 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนใน ธุรกิจบริการทางวิศวกรรมและเทคนิค ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ธุรกิจขายอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจบริการพัฒนาดิจิทัลคอนเทนต์ / พัฒนาซอฟต์แวร์ และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เป็นต้น

    2. สิงคโปร์ 137 ราย คิดเป็น 14% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 22,485 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการทางวิศวกรรมและเทคนิคด้านต่างๆ ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ธุรกิจบริการขุดเจาะปิโตรเลียม ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์ และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เป็นต้น

    3. จีน 123 ราย คิดเป็น 13% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 19,547 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการติดตั้ง ทดสอบ ซ่อมแซม บำรุงรักษาระบบสายพานที่ใช้สำหรับโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตและประกอบรถยนต์ไฟฟ้า ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์ ธุรกิจบริการทำเทคนิคด้านภาพสำหรับภาพยนตร์ ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เป็นต้น

    4. สหรัฐอเมริกา 121 ราย คิดเป็น 13% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 24,675 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจธุรกิจบริการทางวิศวกรรมและเทคนิค ธุรกิจค้าปลีกสินค้า ธุรกิจโฆษณา ธุรกิจขายอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เป็นต้น

    5. ฮ่องกง 69 ราย คิดเป็น 7% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 15,281 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ธุรกิจบริการออกแบบทางวิศวกรรม ธุรกิจบริการศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบที่ทันสมัย ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์ ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เป็นต้น

    ขณะที่ภาพรวมเมื่อเทียบกับปี 2566 พบว่า ปี 2567 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในไทยเพิ่มขึ้นจากปี 2566 จำนวน 287 ราย (43%) มูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 100,574 ล้านบาท (79%)



    กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้วิเคราะห์สถานการณ์การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ พบว่า ในเดือนธันวาคม 2567 มีธุรกิจจัดตั้งใหม่ 4,377 ราย เพิ่มขึ้น 9.18% เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม 2566 (YoY) และทุนจดทะเบียน 22,895 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46.63%YoY ทั้งนี้ มีนิติบุคคลที่จดทะเบียนทุนสูงเกิน 1,000 ล้านบาท จำนวน 1 ราย คือ บริษัท แอ็กซ์ตร้า โกรท พลัส จำกัด ทุนจดทะเบียน 8,390 ล้านบาท ประกอบกิจการโฮลดิ้ง

    ขณะที่ เดือนธันวาคม ปี 2567 พบว่ามีธุรกิจที่มีการจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่

    1) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 329 ราย ทุนจดทะเบียน 1,349 ล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วน 7.52% ของจำนวนการจัดตั้งธุรกิจในเดือนธันวาคม 2567)

    2) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 309 ราย ทุนจดทะเบียน 650 ล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วน 7.06% ของจำนวนการจัดตั้งธุรกิจในเดือนธันวาคม 2567)

    3) ธุรกิจการออกอากาศทางวิทยุกระจายเสียง (ยกเว้นออนไลน์) จำนวน 226 ราย ทุนจดทะเบียน 108 ล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วน 5.16% ของจำนวนการจัดตั้งธุรกิจในเดือนธันวาคม 2567)

    ภาพรวมการจัดตั้งธุรกิจใหม่ทั้งปี 2567 มีจำนวน 87,596 ราย เพิ่มขึ้น 2.69%YoY ทุนจดทะเบียน 285,745 ล้านบาท ลดลง 49.20%YoY ตลอดทั้งปี 2567 มีนิติบุคคลจัดตั้งใหม่ที่มีทุนจดทะเบียนสูงเกิน 1,000 ล้านบาท จำนวน 15 ราย ทุนจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 45,558 ล้านบาท เช่น ธุรกิจ Data Center, รับเหมาก่อสร้างอาคาร, ค้าส่งและค้าปลีก และโรงพยาบาล เป็นต้น

    สำหรับธุรกิจที่มีการจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ในปี 2567 ได้แก่

    1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 6,636 ราย ทุนจดทะเบียน 14,881ล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วน 7.58% ของจำนวนการจัดตั้งธุรกิจในปี 2567)

    2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 6,542 ราย ทุนจดทะเบียน 30,323 ล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วน 7.47% ของจำนวนการจัดตั้งธุรกิจในปี 2567)

    3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 4,025 ราย ทุนจดทะเบียน 8,120 ล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วน 4.59% ของจำนวนการจัดตั้งธุรกิจในปี 2567)

    ด้านการจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการเดือนธันวาคม 2567 มีจำนวน 6,065 ราย เพิ่มขึ้น 9.83%YoY และมีทุนจดทะเบียนเลิก 35,102 ล้านบาท ลดลง 32.92%YoY ในจำนวนนี้มีธุรกิจเลิกประกอบกิจการที่ทุนจดทะเบียนสูงเกิน 1,000 ล้านบาท จำนวน 3 ราย คิดเป็นทุนจดทะเบียน 15,571 ล้านบาท

    สำหรับประเภทธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ในเดือนธันวาคมปี 2567 ได้แก่

    1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 536 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 925 ล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วน 8.84% ของ ของจำนวนการเลิกประกอบธุรกิจในเดือนธันวาคม 2567)

    2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 300 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 2,175 ล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วน 4.94% ของ ของจำนวนการเลิกประกอบธุรกิจในเดือนธันวาคม 2567)

    3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 205 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 468 ล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วน 3.38% ของ ของจำนวนการเลิกประกอบธุรกิจในเดือนธันวาคม 2567)

    ทั้งนี้ การจดทะเบียนเลิกทั้งปี 2567 มีจำนวน 23,679 ราย เพิ่มขึ้น 1.28%YoY ทุนจดทะเบียนเลิกสะสมอยู่ที่ 171,180 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.95%YoY สำหรับการจดทะเบียนเลิกของนิติบุคคลที่มีทุนจดทะเบียนสูงเกิน 1,000 ล้านบาท ในปี 2567 มีจำนวน 13 ราย ทุนจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 85,839 ล้านบาท เช่น ธุรกิจโทรคมนาคม, ขายสิทธิการเช่าห้องชุดพักอาศัย/ให้เช่าห้องชุดพักอาศัย, โรงงานผลิต ซื้อ และจำหน่าย ให้เช่าเทปคาสเซ็ท แผ่นเสียง แถบบันทึกเสียงฯ, และบริการเงินอิเล็กทรอนิกส์เพื่อใช้ชำระค่าสินค้าหรือบริการ เป็นต้น

    ทั้งนี้ ธุรกิจที่มีการจดทะเบียนเลิกสูงสุด 3 อันดับแรกปี 2567 ได้แก่

    1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 2,146 ราย ทุนจดทะเบียน 4,761 ล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วน 9.06% ของ ของจำนวนการเลิกประกอบธุรกิจในปี 2567)

    2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 1,238 ราย ทุนจดทะเบียน 16,885 ล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วน 5.23% ของ ของจำนวนการเลิกประกอบธุรกิจในปี 2567)

    3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 805 ราย ทุนจดทะเบียน 1,994 ล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วน 3.40% ของ ของจำนวนการเลิกประกอบธุรกิจในปี 2567)

    ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567) มีธุรกิจที่จดทะเบียนนิติบุคคลรวมทั้งสิ้น 1,964,829 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 30.56 ล้านล้านบาท โดยมีนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่จำนวน 928,290 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 22.40 ล้านล้านบาท แบ่งออกเป็นบริษัทจำกัดจำนวน 730,542 ราย หรือ 78.70% ของจำนวนนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 16.29 ล้านล้านบาท ห้างหุ้นส่วนจำกัดและห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลจำนวน 196,266 ราย หรือ 21.14% ของจำนวนนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 0.44 ล้านล้านบาท และบริษัทมหาชนจำกัด จำนวน 1,482 ราย หรือ 0.16% ของจำนวนนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 5.67 ล้านล้านบาท

    นางอรมนกล่าวว่า ภาพรวมของสถิติการจดทะเบียนจัดตั้งและจดเลิกในปี 2567 ยังอยู่ในทิศทางที่ดี ส่งผลบวกมาจากปัจจัยการฟื้นตัวของธุรกิจท่องเที่ยวในช่วง high season นักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มมากขึ้น สร้างการจ้างงานมากขึ้น สำหรับจำนวนธุรกิจที่จดทะเบียนจัดตั้งใหม่ในปี 2567 (87,596 ราย) ถือเป็นตัวเลขสูงสุดตั้งแต่มีการเปิดให้บริการจดทะเบียน โดยกรมฯ ได้คาดการณ์ตัวเลขการจดทะเบียนธุรกิจใหม่ปี 2568 จะเพิ่มขึ้น 2-4% จากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 90,000-95,000 ราย ในขณะที่ยังคงต้องจับตาสถานการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อการจัดตั้งธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโดยรวมโลก สงครามทางการค้าและผลที่จะเกิดขึ้นจากนโยบายภายใต้ทรัมป์ 2.0 ที่อาจสร้างความวิตกกังวลให้กับผู้ลงทุนและผู้เริ่มต้นธุรกิจได้




ภาพ : กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์, Andreas Brucker on Unsplash



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ไทยเคยส่งออกกุ้งอันดับ 1 ของโลก! พาณิชย์แนะ 5 แนวทางพาไทยกลับมาครองแชมป์

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine