MFC เปิดตัวกองทุน "MDIGI1YA" ชูจุดเด่นลดความเสี่ยงจากการขาดทุนเงินต้น พร้อมผลตอบแทนคงที่ จากสัญญาวอร์แรนท์ทุก 3 เดือน - Forbes Thailand

MFC เปิดตัวกองทุน "MDIGI1YA" ชูจุดเด่นลดความเสี่ยงจากการขาดทุนเงินต้น พร้อมผลตอบแทนคงที่ จากสัญญาวอร์แรนท์ทุก 3 เดือน

    บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ “MFC” เตรียมเปิดขายกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี Digital Complex Structured Return 1YA ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย หรือ MDIGI1YA ชูจุดเด่นลดความเสี่ยงจากการขาดทุนเงินต้น พร้อมโอกาสรับผลตอบแทนแบบคงที่จากสัญญาวอร์แรนท์ทุก 3 เดือน เสนอขายเฉพาะช่วง IPO เท่านั้น ระหว่างวันที่ 19-31 กรกฎาคม นี้

    ธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บลจ. เอ็มเอฟซี ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการกองทุนคุณภาพทั้งในและต่างประเทศ เปิดเผยว่า “สำหรับนักลงทุนที่กำลังมองหาโอกาสสร้างผลตอบแทนในภาวะ ที่เศรษฐกิจอเมริกายังคงเผชิญกับเหตุการณ์ทางที่คาดการณ์ทิศทางได้ยาก ทำให้ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง บลจ. เอ็มเอฟซี ได้ออกแบบกองทุนรวมผสมเพื่อตอบโจทย์เป้าหมายดังกล่าว โดยเปิดตัวกองทุน MDIGI1YA ซึ่งเป็น Complex Fund ที่มีจุดเด่นทั้งในแง่ของการลดความเสี่ยงการขาดทุนเงินต้น ช่วยลดความเสี่ยงด้านสภาพคล่องจากอายุโครงการเพียง 1 ปี อีกทั้งยังมีโอกาสรับผลตอบแทนแบบคงที่จากสัญญาออปชั่นหรือวอร์แรนท์ทุก 3 เดือนอีกด้วย”

    กองทุน MDIGI1YA มีกลยุทธ์แบ่งเงินลงทุนออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 เป้าหมายเพื่อลดความเสี่ยงจากการขาดทุนของเงินต้น โดยจะลงทุนในตราสารหนี้และหรือเงินฝากทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในอันดับ Investment Grade ประมาณ 98.00-99.00% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เงินลงทุนเติบโตเป็น 100% ของเงินลงทุนทั้งหมดเมื่อครบอายุโครงการ ซึ่งมีการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) สําหรับการลงทุนในตราสารหนี้และหรือเงินฝากต่างประเทศทั้งจำนวน

    สำหรับเงินลงทุนส่วนที่ 2 เป้าหมายเพื่อเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนแบบคงที่จากสัญญาออปชั่น (Option) หรือวอร์แรนท์ (Warrant) ทุก 3 เดือน โดยจะลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าประเภทสัญญาออปชั่นหรือวอร์แรนท์ ที่มีการจ่ายผลตอบแทนแบบ Digital Coupon อ้างอิงกับตะกร้าหลักทรัพย์ (Basket) ที่ประกอบด้วยหุ้นอ้างอิงของบริษัทจดทะเบียนในดัชนี S&P 500 จำนวน 1-2 หลักทรัพย์ ในสัดส่วนประมาณ 1.00-2.00% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ซึ่งกองทุนจะไม่ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับการลงทุนในสัญญาออปชั่นหรือวอร์แรนท์

    ทั้งนี้ กรณีที่ราคาหลักทรัพย์อ้างอิงในตะกร้าหลักทรัพย์ทั้งหมด ณ วันพิจารณาหลักทรัพย์อ้างอิง (ทุก 3 เดือน) เพิ่มขึ้นมากกว่าหรือเท่ากับ 5% ของราคาหุ้นอ้างอิงเริ่มต้น (Initial Price) ผู้ถือหน่วยลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากวอร์แรนท์ ในอัตรา 0.85% ต่อครั้ง โดยกองทุนจะทำการจ่ายผลตอบแทนเมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวในวันพิจารณาหลักทรัพย์อ้างอิง ด้วยการ auto-redeem เข้าบัญชีธนาคารของผู้ถือหน่วยลงทุน และยังได้รับเงินต้นคืนเต็มจำนวนเมื่อครบอายุโครงการ แต่หากราคาหลักทรัพย์ไม่เข้าเงื่อนไขในกรณีข้างต้น 

    ผู้ถือหน่วยลงทุนจะได้รับเงินต้นคืนเต็มจำนวนเมื่อครบอายุโครงการ ทั้งนี้ผลตอบแทนอาจเปลี่ยนแปลงได้ โดยขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่คำนวณผลตอบแทน

    “หุ้นอ้างอิงกับดัชนี S&P 500 ในตะกร้าหลักทรัพย์ จะมีด้วยกัน 2 หลักทรัพย์ คือ 1.) หุ้น Amazon (AMZN) ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ช Amazon.com และธุรกิจให้บริการคลาวด์คอมพิวติ้ง Amazon Web Services (AWS) ที่มีการเติบโตสูงมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งจะได้รับประโยชน์จากการขยายตัวของการใช้ AI ที่เพิ่มมากขึ้น 2.) หุ้น Nvdia (NVDA) ผู้ผลิตหน่วยประมวลผลทางด้านกราฟิกหรือชิป GPU รวมไปถึงชิปประมวลผลเกี่ยวกับการทำงานของ AI ซึ่งเป็นตลาดที่มีความต้องการสูงมาก และมีอัตราการขยายตัวอย่างก้าวกระโดด” ธนโชติ กล่าวปิดท้าย

    สำหรับกองทุน MDIGI1YA เป็นกองทุนรวมผสมที่ลงทุนแบบมีความเสี่ยงทั้งในและต่างประเทศ โดยมีความเสี่ยงระดับ 5 ขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก 500,000 บาท เสนอขายหน่วยลงทุนครั้งเดียวในช่วง IPO ตั้งแต่วันที่ 19-31 กรกฎาคม 2566 ทั้งนี้ ผู้ลงทุนไม่สามารถขายคืนหน่วยลงทุนนี้ในช่วงเวลา 1 ปี และเมื่อครบอายุโครงการ จะทำการ auto-redeem เข้าบัญชีธนาคารของผู้ถือหน่วยลงทุน

    

    อ่านเพิ่มเติม : “แอลฟา” ปิดดีล “ดีเอสวี โซลูชั่นส์” สร้างคลังสินค้าให้เช่าแบบ Built-to-Suit บนพื้นที่ 30,000 ตร.ม.

    ​ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine