บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ “MFC” มองหุ้นสหรัฐอเมริกาเติบโตแข็งแกร่ง หลังได้ประโยชน์จากกระแสการเติบโตของเทคโนโลยี AI โดยเตรียมเสนอขาย IPO กองทุนเปิด เอ็มเอฟซี ยูเอส ทริกเกอร์ ซีรี่ส์ 1 (MUST1) ตั้งเป้าหมายผลตอบแทน 5% ภายใน 5 เดือน เสนอขายครั้งแรก 5 - 11 กันยายน 2566 ลงทุนขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท
ธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บลจ. เอ็มเอฟซี เปิดเผยว่า “ในภาวะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของเทคโนโลยี AI นำโดยกลุ่ม The Magnificent Seven หรือหุ้นเทคโนโลยี 7 ตัว ที่มีมูลค่าสูงสุดในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้แก่ Apple, Microsoft, Alphabet, Amazon, META, Tesla และ Nvidia ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของดัชนีหุ้นสหรัฐฯ เป็นอย่างมาก บลจ. เอ็มเอฟซี มองว่าเป็นจังหวะที่ดีสำหรับการลงทุน เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่อง จากศักยภาพการเติบโตในอนาคตของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลก”
ดังนั้น จึงเตรียมเสนอขายกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี ยูเอส ทริกเกอร์ ซีรี่ส์ 1 (MUST1) ซึ่งมีนโยบายการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ มุ่งเน้นหลักทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากกระแสการเติบโตของเทคโนโลยี AI ประกอบไปด้วยหุ้นกลุ่ม The Magnificent Seven ที่สัดส่วนประมาณ 50 – 60% และหุ้น Big Tech และอื่นๆ ที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ประมาณ 13 ตัว เช่น Adobe, Comcast, Intel, Netflix เป็นต้น โดยกองทุนจะมีความยืดหยุ่นในการปรับพอร์ตตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ตลาด เพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนตามเป้าหมายการลงทุน
กองทุน MUST1 คาดหวังผลตอบแทนเป้าหมายที่ระดับ 5% ของมูลค่าที่ตราไว้ (10 บาท) ภายในระยะเวลา 5 เดือน เมื่อกองทุนมีมูลค่าหน่วยลงทุนตั้งแต่ 10.65 บาทขึ้นไป จะทำการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติ ซึ่งมูลค่าหน่วยลงทุนที่จะทำการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติต้องไม่ต่ำกว่า 10.50 บาทต่อหน่วย
ธนโชติ กล่าวเพิ่มเติมว่า “เชื่อมั่นว่าการลงทุนกับกองทุน MUST1 เป็นทางเลือกที่มีความน่าสนใจ ด้วยปัจจัยหนุนของหุ้นเทคโนโลยีที่ปรับฐานลงอย่างมีนัยยะสำคัญในช่วงที่ผ่านมา ทำให้มีอัพไซด์เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดี ขณะเดียวกันหุ้น Big Tech ยังคงเติบโตจากโมเดลธุรกิจอันแข็งแกร่ง มีมูลค่าตลาดที่ใหญ่ รวมถึงได้รับประโยชน์จาก AI trend ที่กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงธุรกิจลักษณะเดิม”
สำหรับกองทุน MUST1 จะเปิดขายขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 5 – 11 กันยายน 2566 มูลค่าเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท โดยผู้ลงทุนไม่สามารถขายคืนหน่วยลงทุนนี้ในช่วงเวลา 5 เดือนแรกได้ มูลค่าหน่วยลงทุนเป้าหมายไม่ใช่การรับประกันผลตอบแทนจากการลงทุน ดังนั้น หากมีปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนดังกล่าว ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน กองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งจำนวนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน และ/หรือ ได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรก ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
อ่านเพิ่มเติม : “เอ็ชเอ็มซี โปลีเมอส์” ผู้ผลิตเม็ดพลาสติกโพลีโพรพิลีนรายใหญ่ เตรียมออกหุ้นกู้ ชูช่วงอัตราดอกเบี้ยสำหรับรุ่นอายุ 5-10 ปี
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine