เช้าวันนี้ (25 เม.ย.) ข้อมูลจาก Yahoo!Finance พบว่า ราคาหุ้นบริษัท Meta Platforms, Inc. หรือ Meta เจ้าของ Facebook, Instagram และ Social Media อื่นๆ ราคาปิดตลาดอยู่ที่ 493.50 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น แต่หลังปิดตลาดเมื่อคืนนี้ราคากลับร่วงลง 15.15% มาสู่ระดับ 418.71 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น
ด้านบริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุนฟินโนมีนา จำกัด (FINNOMENA) เปิดเผยว่า บริษัท Meta ราคาหุ้นหลังปิดตลาดพบว่าปรับตัวลดลงแล้ว 15% แม้ผลประกอบการไตรมาส 1/67 ยังออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยกำไรต่อหุ้น (EPS) อยู่ที่ 4.70 เหรียญสหรัฐสูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 4.30 เหรียญสหรัฐ ขณะที่รายได้อยู่ที่ 36,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ใกล้เคียงกับที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และยังเติบโต 27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยรายได้หลักยังมาจากโฆษณาที่สัดส่วน 97.8% (ที่ 35,600 ล้านเหรียญสหรัฐ)
ทั้งนี้ ไตรมาส 1/67 ยังมีกำไรอยู่ที่ 29,800 ล้านเหรียญสหรัฐ ยังเพิ่มขึ้นและเติบโตที่สุดนับตั้งแต่ปี 2564 เพราะแบรนด์ต่างๆ ยังทุ่มเงินโฆษณา แต่ราคาหุ้นหลังปิดตลาดกลับลดลง โดยมี 3 ข้อสังเกต คือ
1. ตลาดไม่มั่นใจใน Facebook ในการขยายไปยังธุรกิจอื่น ดังนั้นแม้ผลประกอบการจะเพิ่มขึ้น แต่เมื่อมีการตั้งงบการลงทุนด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI เพิ่มขึ้นอีกจึงสวนทางกับความรู้สึกของนักลงทุนที่มองว่า การซื้อ Meta เพื่อรับรู้รายได้จาก Social Network ที่มีอยู่
2. การประกาศผลการดำเนินงานจะส่งผลต่อราคาหุ้น Meta ทั้งขาขึ้นขาลง เมื่อย้อนดูกราฟราคาหุ้น Meta จะพบว่า หลังจากการประกาศผลในไตรมาส 4 ปี 2566 (ช่วงเดือน ก.พ. 67) ราคาหุ้นหลังปิดตลาดยังเพิ่มขึ้น 20-22% แสดงให้เห็นว่าตลาดรอดูทิศทางขององค์กรในระยะถัดไปก่อนจะตัดสินใจเพิ่มเติม
3. Meta เลือกจะไม่เปิดเผยข้อมูลบางส่วนในผลประกอบการหลังจากนี้เป็นต้นไป ทำให้ตลาดมองว่ามีความเสี่ยงต่อรายได้ในอนาคตมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม หากราคาหุ้น Meta หลังปิดตลาดที่ปรับตัวลดลง 15% อาจทำให้ราคาหุ้นหลังจากนี้ร่วงต่ำกว่าระดับ 420 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น ซึ่งต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 100 วัน และอาจมีความเป็นไปได้ที่จะลดลงถึง 400 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น หากตลาดกังวลต่อการเติบโตของ Meta ที่ชะลอลง ขณะเดียวกันยังเป็นจังหวะเดียวกับธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วอย่างที่ตลาดคาด อาจส่งผลต่อหุ้นหลักในกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยี เช่น Tesla, Meta ฯลฯ แต่ในระยะยาวมองว่าหุ้นกลุ่มนี้ยังเติบโตได้
เมื่อวานนี้ (24 เม.ย.) ตลาดหุ้นสหรัฐเคลื่อนไหวในกรอบแคบ โดยดัชนี Dow Jones ปิดตลาดติดลบ 0.11% ส่วนดัชนี S&P500 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.02% และดัชนี Nasdaq แรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 0.10% โดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยหลักที่นักลงทุนและนักวิเคราะห์ยังติดตามคือ ท่าทีต่อการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยฯ ในช่วงใด
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ก.ล.ต. เปิดทาง ‘กองทุนรวม’ เข้าลงทุนในคริปโตฯ -Token พร้อม Public Hearing ในเดือน พ.ค. 67 นี้
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine