LH Bank เปิดเผยแผนธุรกิจ 5 ปี ระหว่าง 2568-2572 ผ่าน 6 แนวทางการขยายฐานลูกค้าใหม่ SME รายย่อยและเพิ่มรายได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนปี 68 แม้เศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายใน-นอกประเทศ แต่เชื่อว่าสินเชื่อภาพรวมของแบงก์ยังโตได้ที่ 7-8% โดยมองว่า SME และสินเชื่อบ้านจะโตแรงต่อเนื่อง แต่ยังคงตั้งเป้าคุมหนี้เสียไม่ให้เกิน 3%
นายฉี ชิง-ฟู่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH Bank กล่าวว่า ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง จากนโยบายทางภาษี มาตรการกีดกันทางการค้าที่หลายประเทศรวมถึงไทยต้องเผชิญ และความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ที่อาจส่งผลต่อราคาพลังงาน รวมถึงความเสี่ยงทั้งเรื่องอัตราเงินเฟ้อและสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ คาดว่าการขยายตัวเศรษฐกิจไทยปี 2568 จะอยู่ที่ 2.6% โดยมีแรงหนุนจากการลงทุนภาครัฐที่มีการอนุมัติงบได้ตามกำหนด เห็นเม็ดเงินจากโครงการเงินดิจิทัลออกมารวมถึงการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวยังฟื้นตัวได้ดีจากนักท่องเที่ยวกลุ่มอาเซียนที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังอาจเห็นการลงทุนต่างประเทศที่จะเข้ามาไทยเพิ่มเติมเพื่อหลบเลี่ยงนโยบายกีดกันทางการค้าจากสหรัฐ ในส่วนของไทยมองว่าอุตสาหกรรมที่อาจเจอผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ ได้แก่ คอมพิวเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ พลาสติก เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ปี 2568 ทาง LH Bank คาดว่าสินเชื่อรวมจะยังขยายตัวได้ที่ 7-8% ใกล้เคียงกับปี 67 โดยมีแรงส่งจากสินเชื่อธุรกิจที่คาดว่าจะเติบโต 7% สินเชื่อรายย่อย โดยเฉพาะสินเชื่อที่อยู่อาศัย (สินเชื่อบ้าน) ขณะที่สินเชื่อ SME ตั้งเป้าหมายว่าจะเติบโต 16% แม้จะมีความเสี่ยงสูง แต่จะมุ่งเน้น SME ที่มียอดขาย 50-500 ล้านบาทต่อปี และยังคงปล่อยสินเชื่ออย่างรัดกุม ตั้งเป้าคุมหนี้เสียให้ไม่เกิน 3% แม้อาจเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเล็กน้อย

“แม้กลุ่ม (SME) นี้มีความเสี่ยงสูง โดย NPL อยู่ที่ 7% แต่เราเชื่อมั่นในธุรกิจ SME เพราะเห็นการเติบโต ทั้งจากกลุ่มลูกค้าที่เติบโต 3-4 ล้านรายทุกปี และกว่า 90% ของ SME สามารถอยู่ได้ แต่บางรายยัง underserved อยู่ ดังนั้นเราเน้นปล่อยสินเชื่อ SME กลุ่มที่มียอดขาย 50-500 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเรามีวิธีคัดกรอง SME ที่ดีและยังคงเกณฑ์ปล่อยกู้ที่รัดกุม ผ่านการทำโปรดักส์โปรแกรมเพื่อเจาะอุตสาหกรรม และธุรกิจที่ยังมีโอกาสเติบโต ปัจจุบันสินเชื่อ SME อยู่ที่ 60,000 ล้านบาท มีสัดส่วน 23-24% ของสินเชื่อรวม”
นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นขยายสินเชื่อรายย่อย โดยเฉพาะสินเชื่อบ้านจากที่ปี 2567 เติบโตสูงถึง 20% สูงกว่าอุตสาหกรรมที่อยู่ราว 3% โดยปีนี้จะมุ่ง Segment บ้านราคา 20-30 ล้านบาท จากเดิมที่เน้นกลุ่มราคาบ้าน 3-20 ล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าหากธนาคารแห่งประเทศไทยมีการผ่อนมาตรการ LTV จะยังเป็นปัจจัยหนุนในการปล่อยสินเชื่อกลุ่มนี้ด้วย

ขณะที่แผน 5 ปี ในช่วง 2568-2572 จะมุ่งเน้นใน 6 ด้าน ได้แก่
1. การเพิ่มส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ หรือ NIM และ Yield Management เช่น การเพิ่มฐานลูกค้า New S-curve เทคโนโลยี และอุตสาหกรรมสีเขียว
2. ขยายฐาลูกค้า SME โดยจะมุ่งเน้นในกลุ่มที่มีศักยภาพ เช่น ภาคการนำเข้าส่งออก ซึ่งจะสามารเสนอบริการเพิ่มเติมได้
3. International Business ผ่านการขยายบริการธุรกิจที่เชื่อมโยงกับต่างประเทศ และการสนับสนุนธุรกิจที่เป็นซัพพลายเชนในบริษัทที่เข้ามาลงทุนตรงในไทย
4. ธุรกรรมธนาคารและการชำระเงิน เช่น เพิ่มผลิตภัณฑ์บริหารจัดการเงิน ทั้งรายย่อย รวมถึงบริการด้านดิจิทัล
5. สินเชื่อรายย่อย เช่น การขยายในสินเชื่อบ้านที่สร้างผลตอบแทนสูง (อย่าง Home for Cash) การเสริมความร่วมมือกับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ฯ
6. บริการสาขาและ Wealth Management การพัฒนาบริการสาขาและการบริหารความมั่งคั่งให้ตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ยังคงเป้าหมายการเป็นธนาคารขนาดกลางในไทยอย่างต่อเนื่อง
ภาพ: LH Bank
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ธนาคารกรุงเทพ เผย ปี 2567 มีกำไรสุทธิ 45,211 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 8.6%
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine