เช้าวันนี้ (11 พ.ย.) ค่าเงินบาท ‘อ่อนค่าหนัก’ เปิดตลาดที่ระดับ 34.30 บาทต่อเหรียญสหรัฐ จากสัปดาห์ก่อนปิดที่ 34.04 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ผลจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าหลังจากผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ออกมา คาดวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.20-34.45 บาทต่อเหรียญสหรัฐ จับตามุมมองตลาดต่อท่าทีของธนาคารกลางหลัก
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า เช้าวันนี้ (11 พ.ย.) ค่าเงินบาทเปิดตลาดที่ระดับ 34.30 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ปรับตัวอ่อนค่าแรงจากสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ปิดตลาดที่ระดับ 34.04 บาทต่อเหรียญสหรัฐ โดยนับตั้งแต่ช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอ่อนค่าลงต่อเนื่องในกรอบ 34.02-34.34 บาทต่อเหรียญสหรัฐ เนื่องจากการแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ หลังผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ รวมถึงจังหวะการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเพิ่มเติม ได้แก่ หลังจากตลาดรับรู้รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกนเดือนพฤศจิกายน และคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อระยะยาว (5-year Inflation Expectations) ที่ออกมาสูงกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงเชื่อว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) อาจลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot เดือนกันยายน
อย่างไรก็ตาม การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์สหรัฐและบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังกดดันราคาทองคำปรับตัวลดลงราว 20 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วน ใช้จังหวะที่ราคาทองคำยังอยู่ในช่วงปรับฐาน ทยอยซื้อทองคำ ซึ่งธุรกรรมเหล่านี้ส่งแรงกดดันสู่เงินบาทด้วยเช่นกัน
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทในวันนี้ทางธนาคารคาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 34.20-34.45 บาทต่อเหรียญสหรัฐ โดยมองว่า เงินบาทอาจมีแนวโน้มทยอยอ่อนค่าลงได้ (หากยังไม่หลุดกรอบแข็งค่า 33.65 บาทต่อเหรียญสหรัฐ อย่างชัดเจน) ยังคงมีปัจจัยกดดัน ได้แก่ การแข็งค่าขึ้นของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ แรงขายสินทรัพย์ไทยของนักลงทุนต่างชาติ (สัปดาห์ที่ผ่านมา มีแรงขายหุ้นสุทธิ 3,600 ล้านบาท และขายบอนด์สุทธิราว 25,000 ล้านบาท) รวมถึงจังหวะปรับฐานของราคาทองคำ
ทั้งนี้ เงินบาทอาจมีแรงหนุน หากเงินหยวนจีน (CNY) ทยอยแข็งค่าขึ้นได้บ้าง ตามความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน
อย่างไรก็ตาม ยังคาดว่ากรอบการเคลื่อนไหวค่าเงินบาทสัปดาห์นี้จะอยู่ที่ระดับ 33.95-34.65 บาทต่อเหรียญสหรัฐ และต้องติดตามมุมมองของตลาดต่อแนวโน้มนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางหลัก ซึ่งต้องรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจ อาทิ อัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ รวมถึง ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก เช่น Fed, ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และ ธนาคารกลางยุโรป (ECB)
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : อัปเดตแผนฟื้นฟูกิจการ ‘การบินไทย’ มั่นใจครึ่งปีแรก 68 ออกจากแผนฯ ได้ เผยไตรมาส 3 ปีนี้กำไรฯ แตะ 12,483 ล้าน
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine